23/12/51

ภาษาเขียนอ่าข่า

หลังจากที่แต่ละเชื้อชาติ แต่ละเผ่าพันธุ์ได้กระจัดกระจายออกไปอาศัยอยู่ตามที่ต่างๆ พระเจ้าก็ได้เรียกหัวหน้าของแต่ละเชื้อชาติมาเพื่อทำการมอบภาษาเขียนให้ เพื่อให้ใช้ในการบันทึกเรื่องราว หรือพิธีกรรมต่างๆ ต่างคนต่างก็เตรียมอุปกรณ์ไปเพื่อให้พระเจ้าประทานภาษาเขียนให้ อ่าข่าดีใจใหญ่ที่จะได้มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง ความดีใจบวกกับความตื่นเต้นของอ่าข่า จึงทำให้อ่าข่าลืมเอาอุปกรณ์ติดมือไปด้วย พอไปถึงพระเจ้าก็ได้ทำการมอบภาษาเขียนให้กับแต่ละเชื้อชาติ แต่ละ เผ่าพันธุ์ แต่พอคิวมาถึงอ่าข่า อ่าข่าไม่มีอะไรที่จะให้พระเจ้าเขียนตัวอักษรลงให้ แต่ก็ยังดีที่มีหนังวัวติดอยู่กับตัว จึงเอาหนังวัวแผ่นนั้นให้พระเจ้าเขียนตัวอักษรให้ หลังจากทุกเชื้อชาติได้ภาษาเขียนของตนเองที่พระเจ้าประทานให้แล้ว ก็ได้เดินทางกลับบ้าน

ด้วยระยะทางที่ไปเอาตัวอักษรจากพระเจ้านั้นไกลพอสมควร ทำให้แต่ละคนเหนื่อย พอมาได้ระยะหนึ่งอ่าข่าเกิดหิวข้าวขึ้นมา บวกกับไม่ได้ตระเตรียมเสบียงอาหารไปด้วย ขนาดที่เชื้อชาติอื่นได้เตรียมเสบียงมาพร้อม ท้ายสุดด้วยความหิวมาก อ่าข่าจึงตัดสินใจเผาแผ่นหนังวัวที่พระเจ้าประทานตัวอักษรให้กินจนอิ่ม เพราะเป็นทางเลือกสุดท้ายของเขา ที่จะทำให้เขากลับไปถึงหมู่บ้านได้ ด้วยอ่าข่ากินแผ่นหนังวัวที่พระเจ้าประทานตัวอักษรให้จนหมด อ่าข่าจึงไม่มีตัวอักษรใช้ตั้งแต่นั้นมา ขนาดที่เชื้อชาติอื่นมีตัวอักษรใช้กัน

ฉะนั้นในการทำอะไร หรือสืบทอดเรื่องราวต่างๆ อ่าข่าจึงได้แต่ใช้วิธีการจดจำ ชาวอ่าข่าจึงเป็นเชื้อชาติที่มีความจำดีเป็นเลิศ ในการจดจำและเรียนรู้ ไม่ว่าเรื่องสมุนไพร หรือบทสวดของหมอผีที่มีการถ่ายทอดโดยการบอกเล่าและฝึกปฏิบัติเอง การสืบทอดเรื่องราวต่างๆของชาวอ่าข่า จึงเป็นแบบการเรียนรู้จากรุ่นสู่อีกรุ่นหนึ่งจนถึงปัจจุบัน

เพื่อนผี

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในป่า เขามีอาชีพล่าสัตว์ วันหนึ่งเขาออกไปล่าสัตว์ในป่า คืนนั้นเขายิงหนูได้ 1 ตัว แล้วเอากลับบ้านอย่างมีความสุขที่ได้อาหารเย็นแล้ว อีกคืนหนึ่งเขาก็ออกมาล่าสัตว์อีก คืนนี้เขายิงหนไดู้ เหมือนคืนที่แล้ว แต่พอเขาจะเดินไปเก็บหนู พอหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เขาเลยต้อง กลับบ้านด้วยมือเปล่า คืนต่อมาเขาก็ไปยิงหนูเช่นเคย แต่พอเดินไปเก็บหนู ก็พบว่ามีลูกธนูปักที่หนูอยู่ 2 ดอก ทั้งๆที่ยิงไปแค่ดอกเดียวเอง ชายผู้นี้จึงคิดว่าคงมีคนมายิงได้พร้อมเขาเหมือนกัน เลยแบ่งหนูแล้ววางไว้ที่เดิมครึ่งหนึ่งสำหรับเจ้าของธนูอีกดอกหนึ่ง คืนต่อมาเขาก็ออกไปยิงหนู แต่ขณะที่ซุ่มอยู่เขาก็ได้ยินเสียงผิวปาก เขาเลยถามออกไปว่าใครมาผิวปากแถวนี้ ให้ออกมาเร็วๆ แล้วผีก็ออกมาพร้อมบอกว่าเป็นคนที่เขาแบ่งหนูให้เมื่อคืน จากนั้นผีตนนี้ก็เลยชวนเขา ให้ขี่หลังเพราะผีจะพาไปเที่ยว แต่ต้องหลับตาขณะอยู่บนหลังด้วย ชายผู้นี้ทำตามโดยดี พอมาถึงเมืองผี เขาก็ลืมตา ชายผู้นี้ได้มีชีวิตอยู่ในเมืองผีจนมีภรรยาและลูกสาวด้วยกัน 1 คน การอยู่ในเมืองผี จะต้องพูดแต่ความจริง แต่ชายคนนี้ชอบพูดโกหก
อยู่มาวันหนึ่งผีตนเดิมที่พาเขามาก็ทนเห็นเขาโกหกต่อไปไม่ไหวเลยนำมาส่งที่เก่าที่เขามาโดยให้ลูกมาอยู่ด้วย เขากลับมาใช้ชีวิตทำไร่ ล่าสัตว์ เลี้ยงวัวควายเหมือนเดิม ลูกสาวของเขาเป็นเด็กฉลาด สามารถสร้างสะพานด้วยทราย ฆ่าวัวไปบูชา ครั้งหนึ่งลูกสาวของเขาฆ่าวัวไปบูชาพระเจ้า วัวตัวนั้นเป็นวัวของเจ้าของฟาร์ม ทั้งเขาและลูกเลยถูกไล่ออก ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำ ลูกสาวเลยคิดทำรังนกไว้บนต้นไม้ แล้วขังปลาไหลเอาไว้ วันหนึ่งมีพ่อค้าจีนขี่ม้าผ่านมา ลูกสาวเลยเดินมาถามเศรษฐีว่า นี่คือรังอะไร ถ้าทายถูกจะยอมเป็นลูกจ้างตลอดชีวิต แต่ถ้าพ่อค้าจีนทายผิดต้องเอาม้ามาให้ แล้วพ่อค้าก็ตอบไปว่ามันคือรังนก แต่พอเอาลงมาดูก็ปรากฏว่า ในรังมีปลาไหล พ่อค้าเลยเสียม้า จากนั้นเป็นต้นมาสองคนพ่อลูก ก็ใช้มาตัวนี้ในการค้าขายจนร่ำรวย

แมวผู้มีอำนาจ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีตั๊กแตน แมลงวัน กิ้งก่า และหิ่งห้อย เป็นเพื่อนกัน อยู่มาวันหนึ่ง สัตว์เพื่อนรักทั้งสี่ก็ชวนกันไปหาปลาที่แม่น้ำ เมื่อไปถึงแม่น้ำ กิ้งก่าก็พูดว่า “ ฉันจะไม่ตัดไม้มาตกปลาหรอก เพราะฉันจะใช้หางของฉันแทน ” จากนั้นกิ้งก่าก็คว้าเหยื่อมาผูกกับปลายหางแล้วก็รีบหย่อนลงในน้ำ ทันใดนั้นก็มีปลาตัวโตว่ายมาแล้วงับเอาทั้งเหยื่อและหางของเจ้ากิ้งก่าไป เจ้ากิ้งก่ารีบร้องให้เพื่อนช่วย “ ช่วยด้วย ! ช่วยด้วย ! ฉันถูกปลางับหาง ” พอพูดจบเจ้ากิ้งก่าก็หล่นหายไปกับสายน้ำ สัตว์ทั้งสามที่เหลือจากตกปลาต่อจนค่ำ เจ้าแมลงวันชวนเพื่อนๆกลับบ้าน เจ้าตั๊กแตนตอบไปว่า “ ฉันยังไม่กลับหรอก ขาฉันยาวอยู่แล้ว แป๊บเดียวก็ถึงบ้านแล้ว ” พอเพื่อนๆกลับกันไปหมด เจ้าตั๊กแตนก็ต้องเดินกลับคนเดียว มันเดินไปขาก็ติดกับหญ้า ต้องเสียเวลาแกะออก ดึกมาแล้วแต่เจ้าตั๊กแตนก็ยังไม่บ้านสักที มันพยายามเดินไปจนเจอรังนก พอเจอแม่นก เจ้าตั๊กแตนก็พูดว่า “ ขอฉันนอนด้วยได้ไหม ” แม่นกตอบว่า “ ฉันให้เธอนอนหลับด้วยไม่ได้หรอก ลูกฉันมีหลายตัว แล้วก็ยังเล็กมากด้วย ” “ ให้ฉันนอนเถอะ นี่มันดึกมากแล้ว เอาอย่างนี้นะ ฉันจะนอนหุบขาหุบแขนให้นะ ” ตั๊กแตนกล่าว
จากนั้นพอนอนไปจนถึงรุ่งเช้า ก็มีกวางตัวหนึ่งมาร้องอยู่หน้ารังนกทำให้เจ้าตั๊กแตนตกใจ ไปถีบที่หัวลูกนกจนแตก แม่นกถามว่า ” ทำไมมาถีบหัวลูกฉัน ” ตั๊กแตนตอบว่า “ ก็เพราะกวางมันร้อง ฉันตกใจเลยถีบหัวลูกเธอ ” แม่นกเลยถามกวางว่า “ เธอร้องทำไมกวางน้อย ” “ ฉันตกใจที่ต้นไม้ล้ม ” กวางตอบ กวางก็หันไปถามต้นไม้ว่าเหตุใดต้นไม้จึงล้ม “ ก็ปลวกจะมากินฉันนี่ ” ต้นไม้ตอบ ต้นไม้หันไปถามปลวกว่า “ เธอมากินฉันทำไม ” ปลวกตอบว่า “ ควายจะมาเหยียบฉัน ฉันเลยต้องกินเธอไง ” จากนั้นเจ้าปลวกก็หันไปถามควายถึงสาเหตุบ้าง ควายตอบว่า “ ฉันกลัวถูกเชือกมัด ฉันเลยต้องกินเธอไง ” จากนั้นควายก็หันไปถามเชือกด้วยคำถามเดียวกัน กับที่ถามกันมา เชือกก็ตอบว่า “ ฉันถูกหนูไล่กัด ” “ แล้วหนู เธอมากัดฉันทำไม ” “ เจ้าแมวอ้วนจะมาจับฉันกิน ” หนูตอบ หนูเลยถามแมวกลับไปว่า “ จะมาจับฉันทำไม ” แมวตอบว่า “ หัวหน้าฉันสั่งมา ” เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้ ก็ไม่สามารถใครได้ เพราะความเชื่อของอาข่าบอกไว้ว่า ห้ามฆ่าและกินแมว

คางคกกับเสือ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคางคกกับเสือเป็นเพื่อนกัน วันหนึ่ง คางคกก็ท้าเสือว่า “ เรามาลองดูไหมว่าใครจะสามารถข้ามแม่น้ำได้เร็วกว่ากัน ” เมื่อเสือตอบตกลง เจ้าคางคกก็บอกเสือว่า “ ถ้าเจ้าไปถึงกลางแม่น้ำให้กระดิกหาง 3 ครั้งด้วยนะ ” จากนั้นเสือก็เดินข้ามแม่น้ำไป เมื่อไปถึงกลางแม่น้ำ เสือก็กระดิกหางไป 3 ครั้ง เจ้าคางคกก็รีบกระโดดเกาะหางเสือ แล้วเจ้าคางคกก็รีบกระโดดข้ามไปถึงฝั่ง โดยที่เสือไม่รู้ว่าคางคกหลอกใช้ พอมาถึงฝั่ง เสือเห็นคางคกรออยู่แล้วก็สงสัยเลยถามออกไปว่า “ ทำไมเจ้าถึงมาเร็วนักล่ะ ” “ ใช่ ข้ามารอเจ้านานมาจนกินหมากหมดรสชาติไปแล้วคำหนึ่ง ” แล้วต่อมาคางคกก็ท้าเสืออีกว่า “ เรามาลองดูไหมว่า ใครจะอยู่ในกองไฟได้นานโดยไม่ไหม้ ” จากนั้นเจ้าคางคกก็อาสาเข้าไปคนแรก มันลงไปในหลุมที่แอบขุดเอาไว้ก่อนจุดไฟ แล้วเสือก็เป็นคนจุดไฟ เสร็จแล้วเสือก็แช่งให้คางคกตายเร็วๆ พอไฟติดได้ครู่หนึ่ง คางคกก็ออกมาพร้อมกับตัวที่เปื้อนไปด้วยขี้เถ้า เจ้าเสือตกใจและงงว่า คางคกรอดมาได้อย่างไร เลยถามคางคกว่า “ เจ้าทำยังไงถึงไม่ไหม้ ” คางคกตอบว่า “ ยิ่งไฟแรงก็ต้องยิ่งเข้าไปอยู่ในกองไฟ ” ต่อมาถึงตาเสือเข้าไปบ้าง คางคกก็เป็นคนจุดไฟ แล้วก็แช่งเสือให้ตายเร็วๆบ้าง พอไฟลุกเสือก็รีบวิ่งกระโจนเข้าไปในกองไฟ แต่ก็รีบออกมาเพราะ ถูกไฟไหม้จนทำให้ตัวเสือกลายเป็นลายไหม้ อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ต่อมาเสือก็ท้าคางคกบ้าง “ เรามาอ้วกแข่งกันดีกว่า ” เสือเริ่มอ้วกออกมาก่อน ในกองอ้วกของเสือมีแต่กระดุกสัตว์ทั้งนั้น พอถึงตาเจ้าคางคก มันก็อ้วกออกมาบ้าง ในกองอ้วกของคางคกมีขนเสือปนออกมาด้วย ทำให้เสือตกใจมากและคิดว่าคางคกตัวนิดเดียวสามารถกินเสือที่ตัวใหญ่กว่าได้ด้วยหรือ เสือกลัวถูกคางคกกิน เลยรีบวิ่งหนีคางคกไปเจอลิงฝูงหนึ่ง ลิงเลยถามว่า เสือวิ่งมาทำไม เสือตอบว่า “ ข้าหนีเจ้าคางคกมา มันกินเสือได้ทั้งตัวแน่ะ ” พวกลิงพากันหัวเราะเยาะในความโง่ของเสือ

ช้างกับราชสีห์

กาลครั้งหนึ่งช้างกับราชสีห์เป็นเพื่อนกัน พวกเขาได้ยินคนในหมู่บ้านคุยกันว่า หมู่บ้านหนึ่งมีครกกระเดื่องที่ไม่ต้องใช้แรงคนตำแต่ใช้แรงจากน้ำแทน พวกเขาอยากจะเห็นอย่างยิ่งจึงคุยกันว่า ราชสีห์ : ถ้าจะไปดูใครที่ฉลาดกว่าฉัน ฉันก็คงทนดูไม่ได้หรอก
ช้าง : แต่ฉันไม่กลัวหรอก ฉันตัวใหญ่เหยียบดิน ดินก็ยุบ ไปลากไม้ ไม้ก็ยังหัก ราชสีห์เห็นความตั้งใจของช้างว่ายังไงจะไปดูให้ได้ก็บอกกับช้างว่าให้ฝากอัณฑะไว้กับตน(ช้างจึงไม่มีอัณฑะ) ช้างฝากอัณฑะไว้แล้วจึงออกเดินทาง จนกระทั่งเจอช่างตีเหล็กผู้เฒ่าลูกชาย 2 คนกำลังเผาเหล็กอยู่ที่เตาไฟ พอดีช้างเดินเข้าไปพวกเขาตกใจจึงเอาเหล็กนาบที่คอช้าง ช้างกลัวจึงยอมให้คนเป็นเจ้าของ ทำให้ช้างกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของคนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

นกแก้วกับยักษ์

ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งมี พ่อหม้ายอาศัยอยู่กับลูกสองคน เขามีความคิดอยากจะมีภรรยาใหม่เขาจึงเข้าไปจีบผู้หญิงในหมู่บ้าน แต่หญิงสาวคนนั้นบอกว่าถ้ามีลูกแล้วจะไม่แต่งงานด้วย ให้พาลูกไปไว้ที่อื่น รุ่งเช้าเขาหลอกลูกเดินไปข้างนอกแล้วก็ฝังลูกทั้งเป็นแต่โชคดีที่สุนัขมาช่วยขุ้ยหลุม เด็กน้อยทั้งสองจึงรอดกลับมาบ้านได้

วันต่อไป พ่อก็พาเดินออกไปในป่า ระหว่างทางมีดอกไม้ ห่อจึงหลอกให้ลูกรออยู่ตรงนั้นแล้วเขาแอบเดินกลับบ้านคนเดียว ลูกๆก็พากันร้องไห้ ใกล้ๆกับที่เด็กๆอยู่นั้นมีสามี ภรรยายักษ์คู่หนึ่งทำไร่อยู่แถวนั้น ทั้งสองชวนกันออกมาดูเห็นเด็กน่ารักสองคน พ่อยักษ์อยากจะกินเนื้อเด็กๆแต่แม่ยักษ์อยากจะเลี้ยงไว้จึงขอพ่อยักษ์ ทั้งสองจึงพาเด็กๆกลับบ้าน

วันต่อมา พ่อยักษ์และแม่ยักษ์จะออกไปข้างนอกได้สั่งลูกๆว่าอย่าขึ้นไปเล่นบนเพดานบ้านนะ สองวันแรกลูกๆก็เชื่อฟังดีแต่วันที่สามด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงพากันปีนขึ้นไปดู น้องชายพลาดเดินไปชนกระทะที่มีน้ำยาอยู่ข้างในนิ้วข้างหนึ่งจุ้มลงไปในน้ำยาซึ่งไม่สามารถล้างออกได้แต่ด้วยความกลัวพ่อกับแม่จะรู้ ว่าเล่นซนจึงเอามีดขู่ออก เมื่อพ่อแม่กลับมาบ้านน้องก็เอามือซ่อนไว้ข้างหลัง แม่สงสัยจึงดึงนิ้วออกมาเมื่อเห็นบาดแผลของลูกก็เอานิ้วอมไว้ในปาก เมื่อเอาออกมาแผลก็หายไป

วันต่อมาเด็กๆก็พากันขึ้นไปเล่นอีก คราวนี้ทั้งสองคนตกลงไปในกระทะทั้งตัว โดยเอาโซ่มาผูกไว้ที่คอ ทำให้ทั้งสองกลายเป็นนกแก้ว บินออกไปเกาะอยู่ที่ต้นไม้หน้าบ้าน พ่อแม่กลับมาก็เสียใจที่ลูกกลายเป็นนก เมื่อบอกให้ทั้งสองลงมาลูกๆก็ไม่ยอมลง พ่อกับแม่ร้องไห้จนขาดใจตาย พี่และน้องช่วยกันขุดหลุมฝังศพพ่อแม่ เสร็จแล้วก็พากันบินเข้าป่าไป วันเดียวกันนั้นลูกสาวของเจ้าเมืองได้ออกมาดักนก นกตัวน้องบินไปติดกับของหญิงสาว เธอจับออกมาดูแล้วพอใจที่นกตัวนี้สวย ดูไปดูมาเห็นโซ่ที่คอของนกเธอจึงดึงออก ทันใดนั้นนกได้กลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม เธอจึงกลับไปบอกพ่อและแม่ว่าเธอจะแต่งงาน ทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เวลาผ่านไปสามีบอกกับภรรยาว่า ตอนนี้ชีวิตของผมมีทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์แล้วเหลือเพียงอย่างเดียวที่ผมยังไม่มี คือผมอยากจะไปตามหาพี่ชายของผมที่พลัดพรากกันมานาน หลังจากวันนั้นเขาจึงออกตามหาพี่ชายจนได้เจอกัน และมาอยู่ด้วยกันจนพี่ชายไปตามหาคู่ของตัวเอง

ผีกะหัง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีครอบครัวแสนสุขครอบครัวหนึ่ง มีทั้งพ่อแม่และลูกชายสองคน พวกเขาได้ไปปลูกบ้านอยู่ในหมู่บ้านของผีกระหัง แต่พวกเขาไม่ทราบมาก่อน วันหนึ่งชาวบ้านเดินทางไปไร่จำเป็นต้องเดินผ่านหน้าบ้านของพวกเขา บังเอิญเห็นเด็กน้อยทั้งสองกำลังวิ่งเล่นอยู่หน้าบ้าน เขาบอกเพื่อนบ้านว่า “ หมูสองตัวนี้น่ากินจัง ”

หลังจากนั้นพวกเขาก็วางแผนฆ่าลูกทั้งสองคนกิน พ่อแม่ทราบข่าวก็เสียใจมาก พ่อกับแม่จึงรื้อบ้านแล้วสร้างบ้านใหม่โดยสร้างแบบไม่มีช่องว่างให้แม้แต่แมลงวันก็ยังไม่สามารถบินเข้ามาได้ เมื่อมาถึงวันขึ้นบ้านใหม่ พวกเขาก็หลอกชาวบ้านให้เข้าไปอยู่ข้างในบ้านจากนั้นก็ล็อกประตู แล้วจุดไฟเผาบ้าน หลังจากไฟมอดลงแล้วกลับมีเมล็ดน้ำเต้างอกขึ้นมา และถ้าใครนำเมล็ดน้ำเต้านั้นมากินก็จะเป็นผีกระหังตนต่อไป

วันขึ้นบ้านใหม่

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ชาวบ้านคนหนึ่งอยากจะจัดงานฉลองขึ้นบ้านใหม่ เขาคิดจะฆ่าควายเพื่อนำมาทำอาหาร
เจ้าของบ้าน : เราจะฆ่าเจ้ามาทำอาหารเลี้ยงแขก ในวันขึ้นบ้านใหม่นี้นะ
ควาย : ท่านลองคิดดูเถอะว่า นาของท่านกว้างใหญ่แค่ไหนเราก็ไถให้ท่าน

เจ้าของบ้านได้ฟังดังนั้นก็เปลี่ยนใจไม่ฆ่าควายแต่จะฆ่าวัวแทน วัวได้ยินดังนั้นจึงพูดว่า
วัว : ท่านลองคิดดูว่า ข้าวของท่านมากมายแค่ไหนเราก็ลากให้ท่านทั้งหมด ถ้าท่านไม่คิดถึงบุญคุณของ เรา เราคงจะต้องตาย เจ้าของบ้านได้ยินก็เปลี่ยนใจไม่ฆ่าวัวแต่จะฆ่าหมาแทน หมาได้ยินก็บอกว่า
หมา : ท่านลองคิดดูว่า จะหน้าร้อน ฝน หนาว ขนาดไหนเราก็เฝ้าบ้านให้ท่านแล้วท่านจะไม่นึกถึงข้าบ้างเลยหรือ เจ้าของบ้านคิดว่าจะไม่ฆ่าหมาแล้วแต่จะฆ่าหมูเพราะคนให้อาหารหมูกินโดยที่หมูไม่ได้ทำอะไรให้คนเลย จึงเป็นที่มาของการฆ่าหมูในวันขึ้นบ้านใหม่หรือมีงานฉลองตลอดมา

อ่าเย้อจ๊อเบิง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีผู้กล้าชาวอาข่านามว่า “ อ่าเย้อจ๊อเบิง ” เขาเป็นคนมีความสามารถทำให้ฤดูหนาวมีแดด มีฝนตกได้ในฤดูร้อน วันหนึ่งเขาออกไปทำไร่ ด้วยความฉลาดของเขา เขาสามารถทำไร่เสร็จได้เร็วโดยไม่มีคนช่วย เพราะเขาให้สัตวมา์ช่วย ด้วยความที่เขามีความเก่งกล้าสามารถเกินหน้าเกินตา จึงทำให้มีชาวบ้านหลายคนหมั่นไส้และอยากจะกำจัดเขา เลยพยายามหาทางแกล้งทุกวิถีทาง อ่าเย้อจ๊อเบิง มีม้าอยู่ตัวหนึ่ง ใช้ขี่ไปไหนมาไหน
ครั้งหนึ่งชาวบ้านที่คิดจะกำจัดเขาเลยเอาไม้ไผ่ที่ตัดปลายแหลม ไปแอบวางไว้แล้วเอาใบไม้ปิดไว้เพื่อให้ม้าที่อ่าเย้อจ๊อเบิงเดินมาเหยียบ แต่ด้วยความฉลาดของเขาทำให้รอดมาได้ อีกไม่นาน ชาวบ้านกลุ่มที่อิจฉาอ่าเย้อจ๊อเบิง ก็ออกอุบายว่ามีไก่ไปติดอยู่กับรั้วบ้าน ให้อ่าเย้อจ๊อเบิงไปช่วยหน่อย แล้วเขาก็ไปช่วยสำเร็จ ต่อมาชาวบ้านก็พยายามล่อให้อ่าเย้ิิอจ๊อเบิงออกมา โดยออกอุบายว่ามีหมาขึ้นไปบนหลังคาบ้าน ลงมาไม่ได้ ให้อ่าเย้ิิอจ๊อเิบิงช่วยเอาลงมาหน่อย อ่าเย้ิอจ๊อเบิงไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าหมามาเหยียบอยู่บนหัว เลยออกจากบ้านหวังจะมาฆ่าหมาเสีย โดยเขาลืมไปเลยว่าเป็นกับดักของชาวบ้านที่หวังจะฆ่าเขา พอเขาออกมาชาวบ้านก็เลยโดนชาวบ้านรุมยิงด้วยธนู แต่อ่าเย้อจ๊อเบิงก็หลบและรอดมาได้ กระโดดขี่ม้าหนีไป คราวนี้เขาไม่รอดจากหลุมไม้ไผ่ที่วางไว้คราวที่แล้ว ด้วยความรีบของเขาเอง ไม่ทันระวังจึงตกลงไปในหลุมโดนไม้ไผ่เสียบตาย ขณะนั้นเมียของเขาก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ เพื่อปกป้องลูกไม่ให้เขามาเห็น เมียของเขาต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ
จนกระทั่งคลอดลูกชายออกมาพร้อมกับมีม้าอีกตัวหนึ่งด้วยที่ออกมาพร้อมๆกัน เมียอ่าเย้อจ๊อเบิงเกรงว่าลูกชายของเขา จะถูกชาวบ้านฆ่าเพราะกลัวว่าจะเก่งเหมือนกับพ่อของเขา เลยเอากระโปรงไปตากไว้หน้าบ้าน เพื่อให้ชาวบ้านคิดว่าลูกที่เกิดมาของตัวเองเป็นลูกสาว หาได้เป็นลูกชาย ม้าที่ออกมาพร้อมๆกันก็เป็นม้าที่สวยมาก ทั้งยังมีปีกบินได้และไม่มีใครสามารถขี่ได้ นอกจากอ่าเย้อจ๊อเบิง วันหนึ่งลูกชายของอ่าเย้อจ๊อเบิง เกิดอยากขี่ม้าไปเที่ยวบ้าง แต่ยายไม่อนุญาต แต่ลูกชายของอ่าเย้อจ๊อเบิงก็ดื้อดันอยากจะขี่ให้ได้ แล้วในที่สุด เขาก็สามารถปราบม้าพยศตัวนี้ได้ แล้วก็ขี่มันบินไปจนไปตกที่ที่ยายตากข้าวไว้ ยายเข้าใจผิด นึกว่าไก่บินลงมากินข้าวที่ตากไว้ จึงเอาไม้ฟากลงไป ทำให้ปีกม้าหัก เมื่อยายรู้ว่าไม่ใช่ไก่แต่เป็นม้าของหลานเอง จึงบอกหลานด้วยความรู้สึกผิดว่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวยายเอาขี้ผึ้งมาต่อปีกให้ใหมนะ่ แล้วยายก็นำขี้ผึ่งมาต่อปีกของม้่าจนม้าสามารถบินได้ แล้วก็บินต่อได้ ลูกชายอ่าเย้อจ๊อเบิงก็ขี่ม้าบินไปได้สักพัก ด้วยแสงแดดที่ร้อนระอุ ทำให้ขี้ผึ้งละลายปีกม้าเลยหลุด ลูกชายของอ่าเย้อจ๊อเบิงเลยตกลงมาในบ่อน้ำลึกจนจมน้ำตาย

อ่าอู๊จาลา

อ่าอู๊จาลาเป็นหนุ่มกำพร้า ฐานะยากจนมากแต่เขาเป็นคนที่ฉลาดแกมโกง หากินด้วยการใช้ขี้มูกมาหลอกคน วันหนึ่ง เขาเดินทางไปหมู่บ้านต่างถิ่น ด้วยความหิวอยากจะหาของกิน จึงคิดเล่ห์เหลี่ยมไปด้วยขณะที่เดินก็ไปเจอบ้านหลังหนึ่ง เจ้าของบ้านเลี้ยงไก่ไว้หลายตัว อาอูจาละก็เริ่มแผนการทันที

อาอูจาละ : ท่านเจ้าของบ้าน ท่านว่าไก่ของท่านจะกินขี้มูกของเราหรือไม่

เจ้าของบ้าน : ไม่กินหรอก ไก่ของเราไม่สกปรกแบบนั้น

อาอูจาละ : ถ้าไก่ของท่านกินขี้มูกเรา ไก่ตัวนี้จะเป็นของเรา ตกลงไหม

เจ้าของบ้าน : ตกลง แต่ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก

และไก่ตัวนั้นก็กินขี้มูกอาอูจาละจริงๆ เขาจึงได้ๆไก่กลับมาหนึ่งตัว แล้วเดินทางไปหมู่บ้านต่อไป

เมื่อไปถึงหมู่บ้านมีงานศพที่บ้านหลังหนึ่ง อาอูจาละเข้าไปถามลูกชายผู้ตายว่า

อาอูจาละ : พ่อของเจ้าจะลุกขึ้นมารกินไก่ของข้าไหม

เจ้าของบ้าน : ไม่พ่อฉันตายแล้วจะมากินไก่เจ้าได้ไงล่ะ

ตอนกลางคืน อาอูจาละแอบไปฆ่าไก่แล้วเอาไปวางไว้ในโลงศพ ตอนที่คนอื่นหลับหมดแล้ว พอรุ่งเช้าก็แกล้งร้องโวยวายว่าไก่หาย อย่างนี้ต้องเป็นศพแน่ๆที่กินไก่ของเรา เมื่อไปเปิดโลงศพดูก็มีไก่อยู่ข้างในจริงๆ เขาจึงเรียกร้องให้เจ้าของบ้านรับผิดชอบ เจ้าของบ้านไม่มีอะไรจะให้จึงยกศพให้ เมื่ออาอูจาละได้ศพแล้วก็เดินทางต่อไป ระหว่างทางเขาหยุดพักใกล้ต้นไม้ที่มีผลไม้มากมาย เขาก็เอาศพไปแขวนไว้ข้างบน บังเอิญมีพ่อค้าวัวคนหนึ่งเดินทางผ่านมาพอดีเห็นอาอูจาละกินผลไม้อย่ข้างล่างก็ถามว่า

พ่อค้า : ผลไม้ที่เจ้ากินน่าอร่อยดีนะ เจ้าเก็บมาจากต้นนี้ใช่ไหม

อาอูจาละ : ใช่ ผลไม้พวกนี้อร่อยมาก ข้าให้ลุงข้าโยนลงมาให้

พ่อค้า : ข้าอยากกินผลไม้บ้างจะได้ไหม

อาอูจาละ : ได้ ท่านบอกให้ลุงข้าเก็บให้สิ แต่ต้องเขย่าต้นไม้แรงๆนะ เขาเป็นคนหูหนวก

พอพ่อค้าได้ยินก็ทำตามที่อาอูจาละบอก ศพก็หล่นลงมา อาอูจละได้โอกาสจึงกล่าวหาว่าพ่อค้าทำให้ลุงของเขาตาย จะต้องรับผิดชอบ แต่พ่อค้าไม่มีอะไรจะให้เลยยกวัวให้ฝูงหนึ่ง อาอูจาละจึงพาวัวเดินทางต่อ จนกระทั่งเขาหยุดพักตรงริมทาง มีพ่อค้าช้างเดินทางผ่านมาหยุดพักข้างๆ อาอุจาละก็เริ่มอุบายอีก

อาอูจาละ : ช้างของท่านจะกินวัวของเราหรือเปล่า

พ่อค้าช้าง : ไม่หรอก ช้างเราไม่กินวัวท่านหรอก

ตอนกลางคืนอาอูจาละได้ฆ่าลูกวัวตัวหนึ่งแล้วเอาไส้ไปพันที่งวงช้าง ตื่นเช้ามาเขาก็มาโวยวายกับเจ้าของช้างว่าช้างของพ่อค้ามากินวัวของเขา พ่อค้าจึงยอมยกช้างเป็นค่าเสียหายให้ อาอูจาละจึงพาวัวและช้างทั้งหมดกลับบ้าน

ณ หมู่บ้านของอาอูจาละ ชาวบ้านต่างสงสัยว่า เขาไปทำอะไรมาจึงได้ฝูงวัวฝูงช้างกลับมาเลยพากันมาถามอาอูจาละให้เขาช่วยละสอนวิธีแก่พวกเขาบ้าง อาอูจาละบอกว่าจะซ่อมแซมบ้านก่อนเมื่อบ้านเสร็จแล้วจะบอกทุกคน วันต่อมา เขาเดินทางไปตัดไม้ในป่า บังเอิญเจอเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่ง เขาคิดอุบายหลอกเด็กๆให้มาช่วยขนไม้โดยเอาไก่มาผูกไว้ใกล้หลุมกับต้นไม้แล้วเรียกเด็กๆให้มาดูไก่พร้อมหลอกให้กระตุกเชือก แต่เด็กๆดึงได้แต่ไก่เท่านั้น เขาได้โอกาสบอกให้เด็กๆช่วยขนไม้ให้เขากลับไปที่บ้าน ครั้งที่สองเขาก็ใช้อุบายทำแบบนี้อีก แต่เปลี่ยนจากขนไก่เป็นขนแพะจนสามารถสร้างบ้านได้ เมื่อสร้างบ้านเสร็จเขาก็จะเดินทางไปค้าขายใหม่ ทุกคนทิ่เดินทางไปด้วยต้องห่ออาหารไปกิน อาอูจาละห่อลูกหนูไปแทนข้าวพอเปิดห่อข้าวออกมาเห็นว่าเป็นลูกหนูก็บอกว่าคงเป็นลางไม่ดี เขาจะกลับบ้านไม่ไปค้าขายแล้ว ระหว่างเดินทางกลับเขาห่อปูตัวหนึ่งกับเปลือกไผ่ เขาแกล้งทำไปเยี่ยมบ้านภรรยาที่สามีเดินทางไปค้าขายแล้วแอบเอาห่อปูไปวางไว้ในบ้านแล้วหมาก็เลยเห่า อาอูจาละจึงบอกว่า ” ระวังนะ สามีไม่อยู่บ้านเวลานอนต้องคอยฟังว่ามีเสียงอะไรรึเปล่า ” พวกนางกลัวมากไม่กล้านอนที่บ้านจึงไปขอนอนที่บ้านอาอูจาละ หญิงทั้งหมดจึงกลายเป็นเมียของเขา หลังจากนั้นไม่นานสามีพวกนางกลับมา นางจึงเล่าให้สามีฟัง ทุกคนจึงวางแผนจะฆ่าอาอูจาละ วันหนึ่งอาอูจาละเผลอตัวถูกจับใส่ในก๋วย(ตะกร้า)แล้วเอาไปแขวนไว้บนต้นไม้ที่ข้างล่างมีบ่อน้ำ แต่ขณะเดียวกันมีพ่อค้าชาวจีนเดินทางผ่านมา อาอูจาละคิดอุบายหลอกให้พ่อค้าขึ้นมาหาตนข้างบนแล้วจับพ่อค้าใส่ก๋วยไว้แทน หลังจากนั้นเขาก็งไปตักน้ำรดตัวแล้วกลับเข้าไปในหมู่บ้าน บอกทุกคนว่าเขายังไม่ตายแต่ตกลงไปในบ่อน้ำ ที่นั่นมีสมบัติมากมาย ทุกคนอยากได้สมบัติจึงพากันไปงมแต่อาอูจาละบอกว่าให้เอาโอ่งมัดไว้กับตัวจะได้ขนสมบัติกลับมาเยอะๆ ทุกคนหลงเชื่อทำตาม เวลาผ่านไปเขาก็ไปบอกบรรดาภรรยาของชาวบ้านที่ลงไปเอาสมบัติในน้ำว่า ให้เอาห่อข้าวไปวางไว้ข้างๆบ่อน้ำสามีจะขึ้นมากิน พอพวกนางเอากับข้าวไปวางอาอูจาละก็แอบโยนทิ้ง พวกนางดีใจที่สามีมากอนอาหาร แต่หนึ่งวันต่อมา พอกลับมาดูห่อข้าวไม่มีร่องรอยใครกิน อาอูจาละบอกว่าสามีพวกนางไม่ขึ้นมากินอาหารแสดงว่าพวกเขาตายแล้ว จากนั้นเขาก็แกล้งแอบอยู่หลังต้นไม้เป็นเทวดาบอกพวกนางว่า ให้เป็นภรรยาของเขาและเขาเหมาะที่สุดที่จะเป็นผู้นำหมู่บ้านเพราะเขาเป็นเพียงผู้ชายคนเดียว

การเกิดประตูหมู่บ้าน

เมื่ออ่าข่าได้ผู้หญิงกลางทางตามที่พระเจ้าแนะนำแล้ว ก็พากลับมาที่บ้าน แต่ด้วยความไม่แน่ใจว่าผู้หญิงที่ตนพามาด้วยนั้นเป็นผีหรือคน เพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลย ด้วยความกลัวและไม่แน่ใจของอ่าข่า จึงไม่กล้านอนด้วยกัน อ่าข่าจึงได้แยกห้องนอน โดยให้ผู้หญิงไปนอนอีกฝั่งหนึ่ง ส่วนตนก็มานอนอีกฝั่งหนึ่ง พอมาระยะหลังเริ่มมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น เหมือนมีคนมาตามเขากลับบ้าน ทำให้อ่าข่าอยู่ไม่เป็นสุข และแล้วก็มีแม่ของผู้หญิงคนนั้นซึ่งเป็นผีก็มาตามหาลูกสาวของตนถึงบ้าน โดยพูดว่า “ ลูกสาวของตนถูกผู้ชายคนหนึ่งไม่ทราบนามพาตัวมา ไม่รู้ว่าเขาจะทำมิดีมิร้ายกับลูกสาวของตนหรือเปล่า ” หลังจากอ่าข่าได้ฟังแม่ของหญิงสาวซึ่งเป็นผีคนนั้นพูดก็รู้ทันทีว่า หญิงสาวที่ตนพามานั้นไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นผีแน่แท้แม่ผีของหญิงสาวมาตามหาลูกของเขาในหมู่บ้านหลายต่อหลายครั้ง จนรู้ว่าลูกสาวของตนไม่ได้ไปไหนแต่อยู่ในหมู่บ้านนี้เอง และคนที่พาลูกสาวของเขามาไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นอ่าข่าคนนี้นี่เอง เมื่อรู้เช่นนั้นผีผู้เป็นแม่ก็มาก่อกวนประจำ หวังจะพาลูกสาวของตนกลับบ้าน ทำให้อ่าข่าอยู่ไม่เป็นสุข อ่าข่าจึงคิดหาวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้ผีแม่ของหญิงสาวมาก่อความวุ่นวายในหมู่บ้านอีก จึงได้สร้างประตูไว้บริเวณด้านหน้าและด้านหลังของหมู่บ้าน รวมสองประตู พร้อมทั้งแกะสลัก ตุ๊กตารูปชายหญิงจากไม้ขึ้น แล้วไปวางไว้ตรงข้างๆประตูทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้แม่ผีเข้ามาก่อกวนในหมู่บ้านอีกและให้รู้ว่าเขาไม่ได้พาลูกสาวของตนมาทำมิดีมิร้ายแต่อย่างใด เขาเพียงพาลูกสาวของตนมาเพื่อเอาไว้สืบตระกูลต่างหากตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผีแม่ของหญิงสาวก็ไม่เข้ามาก่อความวุ่นวายในหมู่บ้านอีกเลย อ่าข่าจึงอยู่ในหมู่บ้านอย่างมีความสุข ส่วนหญิงสาวคนนั้นก็กลายเป็นมนุษย์และอยู่ด้วยกันกับอ่าข่าจนมีลูกและสืบมาจนถึงปัจจุบัน
* บ้านของอ่าข่ามีห้องนอนสองฝั่ง เนื่องจากอ่าข่าไม่กล้านอนด้วยกันกับหญิงสาวที่ตนพามา เพราะไม่แน่ใจว่า หญิงสาวที่ตนพามาเป็นคนหรือผี จึงได้ทำการกั้นห้อง
* ประตูหมู่บ้านเกิดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ผีหรือสิ่งไม่ดีเข้ามาในหมู่บ้าน
* ตุ๊กตาชายหญิงที่วางอยู่ข้างๆประตูหมู่บ้านของอ่าข่าคือ สัญลักษณ์ที่ทำให้แม่ผีของหญิงสาวรู้ว่า อ่าข่าไม่ได้พาลูกสาวของเขามาทำมิดีมิร้าย แต่พามาเพื่อสืบตระกูล

การเลือกคู่ครองของอ่าข่า

หลังจากที่ต่างคนต่างอยู่ แต่ไม่มีคู่สำหรับสืบพันธุ์มีความเงียบเหงาไม่สนุก ทุกเผ่าพันธุ์จึงได้ไปขอคู่กับพระเจ้า ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกเชื้อชาติต่างทยอยไปหาพระเจ้าเพื่อเลือกคู่ เว้นต่างอ่าข่าที่ยังไม่ได้มา เพราะมัวต่างทำไร่อยู่ พออ่าข่าไปถึงก็ไม่มีคู่ให้เลือกแล้วพระเจ้าบอกว่า ทำไมไม่มาตั้งแต่เมื่อวาน นึกว่าแบ่งให้หมดแล้ว อ่าข่าก็บอกกับพระเจ้าว่าเมื่อวานมาไม่ได้เพราะทำไร่ยังไม่เสร็จ พระเจ้าจึงบอกว่า จะบอกว่าไม่ทันได้ไง ถ้าบอกไม่ทันก็ไม่ทันทั้งชีวิตแหละ พระเจ้าบอกต่อว่า ถึงแม้ไม่ได้วันนี้ก็ไม่ต้องเสียใจไม่ได้วันนี้วันหน้าก็ได้แหละ อ่าข่าจึงได้เดินทางกลับบ้านโดยไม่ได้คู่ แต่เมื่อเขากลับถึงบ้านเขาก็ยังไม่เป็นสุขอยู่ดี นอนไม่หลับ ไปไหนมาไหนก็ไม่มีเพื่อนคุย รู้สึกเหงาที่ไม่มีคู่เหมือนชาติอื่น จึงไปหาพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง อ่าข่าพูดว่า “ เอาไงก็เอากัน วันนี้ถ้าพระเจ้าไม่ให้คู่เขาก็จะไม่กลับบ้านเด็ดขาด ” สุดท้ายพระเจ้าก็แนะนำให้ว่า เจ้ามาช้า ข้าแบ่งเนื้อคู่ให้คนอื่นหมดแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรให้เจ้าปฏิบัติตามนี้ละกัน แล้วพระเจ้าก็เริ่มอธิบายโดยแนะนำอ่าข่าว่า ระหว่างเดินทางกลับบ้านนะ ให้ร้องเพลงไปด้วย แล้วถ้าเจอใครในป่าหรือระหว่างทางให้รีบดึงคนนั้นไว้นะ คนนั้นแหละคือเมียของเจ้า แล้วอ่าข่าก็ออกเดินทาง และปฏิบัติทุกอย่างตามที่พระเจ้าบอก และแล้วก็ได้เจอผู้หญิงคนหนึ่งในป่า ก็ควงผู้หญิงคนนั้นมายังบ้าน อ่าข่าจึงได้คู่ครองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

นิทานอ่าข่า

การเกิดอ่าข่าและชาติพันธ์ต่างๆ

หลังจากที่น้ำท่วมโลก สิ่งมีชีวิตต่างๆบนโลกก็ได้ตายหมดเว้นแต่คนๆหนึ่งที่มีชื่อว่า “ ถ่องผ่อง ” รอดมาได้อย่างหวุดหวิด โดยเวลาที่น้ำท่วมโลก ถ่องผ่องได้เข้าไปอยู่ใน กลอง (ถ่องๆโฉว่) ที่มีการปิดอย่างมิดชิด แล้วเขาก็ลอยไปไหนมาไหนตามกระแสน้ำ จนน้ำแห้งถ่องผ่องออกมาดูข้างนอกก็ทราบว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายได้ตายหมดแล้ว คงเหลือแต่เพียงเขาคนเดียวที่รอดตายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ หลังจากที่ถ่องผ่องมีชีวิตอยู่บนโลกคนเดียวไม่นาน เขาก็ได้ตั้งท้องอย่างผิดสังเกต และผิดธรรมชาติ คือ เขาตั้งท้องทุกส่วนของร่างกาย ทั้งเส้นผม นิ้วมือ นิ้วเท้า และระยะเวลาการอุ้มท้องของเขานานถึง 12 เดือน หรือ 1 ปี (ทั้งที่ปัจจุบันคนเราอุ้มท้องนานแค่ 9 เดือนเอง) พอถึงกำหนดคลอด ก็ได้คลอดลูกออกมา ทันทีที่คลอดออกมาลูกแต่ละคน ก็สามารถพูดได้เลย ต่างคนต่างพูดว่า ผมเป็นคนจีน ผมเป็นอังกฤษ ผมลาหู่ ลีซู ม้ง อ่าข่า ฯลฯ เผ่าพันธ์และเชื้อชาติต่างๆจึงได้แตกออกไปตั้งแต่นั้นมาและอยู่ร่วมกัน จนเวลานานเข้านานเข้าต่างคนต่างก็แยกย้ายออกไป อยู่คนละทิศคนละทาง