27/8/51

พันธมิตร ยึดทำเนียบรัฐบาล 21 มิ.ย.51-04:14น.





ยึดทำเนียบสำเร็จ พันธมิตร ประกาศชัยทันที [21 มิ.ย. 51 - 04:11]
ในที่สุดกลุ่มพันธมิตรฯก็ถึงวันดีเดย์ เคลื่อนพลออกจากสะพานมัฆวานรังสรรค์ ในช่วงเที่ยงของวันที่ 20 มิ.ย. ยาตราทัพมายังทำเนียบรัฐบาล โดยใช้แผนยุทธการสงคราม 9 ทัพ มีการแบ่งการเคลื่อนกำลังเป็นหลายจุด กระจายกันมายังทำเนียบรัฐบาล มีการวางแผนใช้เส้นทางถนนหลายเส้น นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนใช้เรือท้องแบนเคลื่อนพลทางน้ำมาตามคลองผดุงกรุงเกษม หากถูกตำรวจสกัดกั้นตามเส้นทางปกติ โดยการเคลื่อนพลที่ใช้แผนยุทธการสงคราม 9 ทัพครั้งนี้ ทำเสมือนหนึ่งเป็นการไปสู้รบกับอริราชศัตรูสำคัญของชาติ
ติวเข้มชายฉกรรจ์ที่เป็นทัพหน้าลุย
สำหรับบรรยากาศที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 20 มิ.ย. ก่อนมีการเคลื่อนพลมีกลุ่มพันธมิตรฯ เดินทางมารวมตัวกันจำนวนมากและอย่างต่อเนื่อง ทำให้ บรรยากาศบริเวณพื้นที่ดังกล่าวมีความคึกคัก ส่วนเต็นท์และเวทีที่เคยใช้เป็นที่ปราศรัยยังไม่มีการรื้อถอนออกแต่อย่างใด ขณะเดียวกันบรรดาสาวกกองทัพธรรม ก็ยังคงปฏิบัติภารกิจทำอาหารเลี้ยงผู้ชุมนุมตามปกติ ส่วนที่หน้ากองทัพบก ได้มีชายฉกรรจ์ที่ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายดูแลความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ซักซ้อมการเตรียมความพร้อมในการเป็นแนวหน้าของการเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบฯ โดยชายกลุ่มดังกล่าวจะมีสัญลักษณ์ผ้าพันคอสีเขียว โพกหัวด้วยผ้าเหลืองเขียนคำว่า “กู้ชาติ” และถือไม้ด้ามธงชาติติดตัวกันทุกคน
เตรียมเคลื่อนพลทางน้ำหากถูกสกัดกั้น
ต่อมาเวลา 09.30 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้นำเรือไฟเบอร์ ท้องแบนจำนวน 10 ลำ ใส่รถ 6 ล้อ ของกองทัพธรรมมาจอดไว้ใกล้คลองผดุงกรุงเกษม เพื่อใช้เป็นพาหนะขนคนข้ามคลองหากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดไม่ให้เดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลบนเส้นทางปกติได้ ส่วนที่บริเวณสะพานมัฆวานฯ ยังคงมีการปราศรัยบนเวทีอย่างต่อเนื่อง โดยบริเวณเชิงสะพาน มีตำรวจตรึงกำลังอย่างแน่นหนาถึง 2 ชั้น โดยมีรถตำรวจและรถดับเพลิงจอดขวางอยู่ ตร.ตรึงกำลังรอบทิศทางถนนเข้าทำเนียบ ขณะที่บรรยากาศบริเวณรอบนอก ช่วงเช้าวันเดียวกัน ถนนทุกเส้นที่ผ่านเข้าทำเนียบรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม หน้าวัดมกุฏฯ ถนนพระราม 5 และถนนนครปฐม หน้าวัดเบญจมบพิตรฯ บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ถนนพิษณุโลกบริเวณสี่แยกมิสกวัน เจ้าหน้าที่ ตำรวจใช้แผงเหล็กปิดกั้นตลอดแนวพร้อมยืนตรึงกำลังไว้ไม่ยอมให้ยวดยานต่างๆ และบุคคลภายนอกกล้ำกรายเข้ามาอย่างเด็ดขาด
ฝันรัฐบาลต้องลาออกเร็วๆนี้
ก่อนเคลื่อนพลในเวลา 10.00 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ย้ำถึงจุดยืนของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า การ เดินทางไปทำเนียบจะไม่เข้าไปบุกยึดทำเนียบ จะไม่ด่าทอ ยั่วยุเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่เอาหนังสติ๊กไปยิงหัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่เอาก้อนหินไปปา เข้าใจว่าจะต้องมีพวกนรก ป่วนกรุงเข้ามา ทำให้ประชาชนหมดความน่าเชื่อถือ ใครก็ตามที่ทำสิ่งที่ตรงข้ามกับเรา ถึงแม้ว่าจะแต่งกายเหมือนเรา ใส่เสื้อเหลือง ผูกผ้าพันคอกู้ชาติ แต่หากพกพาอาวุธเข้ามาปะปนในกลุ่มพันธมิตรฯ ถือว่ากลุ่มดังกล่าวไม่ใช่ พวกเรา ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้เลย การเดินขบวน เมื่อเผชิญหน้ากับตำรวจก็จะยิ้มให้ และไม่ใช้ความรุนแรง ใดๆทั้งสิ้น กลุ่มพันธมิตรฯได้เตรียมแผนการรองรับเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะปักหลักอยู่ที่ใด เชื่อว่าต้องทำสำเร็จแน่นอน รัฐบาลต้องลาออกภายใน 1-2 วันนี้
จำลองนำพันธมิตรล้อมตำรวจ
จนเวลา 11.50 น. พล.ต.จำลองเดินนำหน้าชายฉกรรจ์ผ้าพันคอเขียวและกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 300 คน ออกจากสะพานมัฆวานฯไปตามถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม ไปถึงบริเวณซอยวัดโสมนัสราชวรวิหาร ซึ่งเป็นจุดแรกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล ประมาณ 200 คน ยืนตั้งแถวพร้อมโล่ป้องกัน จากนั้น พล.ต.จำลองสั่งให้กลุ่มผู้ชุมหยุดขบวนและนั่งลงกับพื้น พร้อมประกาศว่าอย่าด่าทอ อย่าทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยิ้มให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะเดียวกัน ฝั˜งตรงข้ามก็มีกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 300 คน เดินจากสนามม้านางเลิ้งเข้ามาสมทบ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มดังกล่าวตกอยู่ในวงล้อมของพันธมิตรฯ
กรูทลายกำแพงตำรวจเพื่อแหวกทาง
เวลา 12.05 น. กลุ่มผู้ชุมนุมจากสนามม้านางเลิ้ง กลุ่มดังกล่าวกรูเข้าไปดึงเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมา ทำให้ กลุ่มตำรวจเสียรูปขบวน กลุ่มของ พล.ต.จำลอง จึงทลายกำแพงของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ชั่วครู่ ก็สามารถแหวกทางออกไปได้ จากนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมตั้งขบวนเลี้ยวซ้ายไปถนนนครสวรรค์ ตรงไปสี่แยกสนามม้านางเลิ้ง โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมอีกหลายพันคนเดินตามมาสมทบ กระทั่งเดินถึงสี่แยกสนามม้านางเลิ้ง ก็เจอกับแผงเหล็กกั้นไว้ตลอดแนว โดยมี ตชด.และตำรวจปราบจลาจลตั้งกำแพงมนุษย์ 5 ชั้นหลังแผงเหล็กป้องกันไม่ให้กลุ่มพันธมิตรฯเล็ดลอดเข้าไปยังทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้น พล.ต.จำลองได้ขึ้นไปบนเวทีเคลื่อนที่ของรถหกล้อ ปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล โดยมีนายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 2 แกนนำตามมาสมทบ พร้อมกับประกาศยึดพื้นที่และนำเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่มาติดตั้งเปิดการปราศรัย ในขณะที่อาสาสมัครพันธมิตรฯและผู้ชุมนุมบางส่วนต้องคอยยืนประจันหน้ากับตำรวจที่ตั้งด่านสกัดกั้นไว้บริเวณนางเลิ้ง แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆเกิดขึ้น โดย พล.ต.จำลองได้ขอให้ผู้ชุมนุมนั่งลงกับพื้นถนนอย่างสงบเรียบร้อย
อีกด้านหนึ่ง นายสมศักดิ์ โกยสุข ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากที่ตั้งเดินเท้าเลียบคลองผดุงกรุงเกษม ผ่านหน้าวัดมกุฏกษัตริยาราม เลี้ยวขวาเข้าถนนประชาธิปไตย ผ่านคุรุสภา เลี้ยวขวาเข้าแยกวังแดง ก็เจอกับกำแพงเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยตั้งแถวสกัดกั้นอยู่ กลุ่มผู้ชุมนุมจึงเข้าเจรจาขอเปิดทางประมาณ 15 นาที โดยเข้าไปผลักแผงเหล็กที่กั้นและยื้อยุดอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจครู่ใหญ่ ก่อนที่ผู้ชุมนุมจะสามารถฝ่าแนวผ่านไปอย่างง่ายดาย
หาญกล้ายืนตัดโซ่รัดแผงเหล็กเย้ย ตร.
ส่วนที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ กลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งได้กรูเข้าตัดโซ่ที่ร้อยรัดแผงเหล็กของตำรวจ ที่ทำเป็นแนวกั้นไว้จำนวน 2-3 จุด บริเวณหลังเวทีปราศรัย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่แต่งกายในชุดปราบจลาจลเตรียม พร้อมปฏิบัติการอย่างเข้มข้นหากเกิดเหตุรุนแรงขึ้น ยืนสงบนิ่งมองดูผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตรฯตัดโซ่เหล็กออกไปอย่างง่ายดาย พร้อมตรึงกำลังประจันหน้ากัน ขณะที่ตำรวจนำรถ 6 ล้อ ขังผู้ต้องหามาจอดขวางไว้หลายคันทำเป็นแนวกั้นอีกชั้น
บุกตะลุยยึดพื้นที่ถนนพิษณุโลก
กระทั่งเวลา 14.47 น. กลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งสามารถยึดพื้นที่บนถนนพิษณุโลกหน้าทำเนียบรัฐบาลได้แล้ว ได้รวมตัวกันผลักดันรถขังผู้ต้องหาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จอดปิดทางเข้าบริเวณถนนนครปฐมเลียบคลองตลอดหน้าทำเนียบ เพื่อเปิดทางให้รถกระจายเสียงที่มีนายสมศักดิ์โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย และนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ยืนอยู่บนรถเคลื่อนที่เข้ามายังถนนพิษณุโลก และจอดปักหลักที่เชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ได้สำเร็จ ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องดังกึกก้องของผู้ชุมนุม ที่สามารถนำรถกระจายเสียงเข้าพื้นที่ชุมนุมได้ นอกจากนี้กลุ่มผู้ชุมนุมยังได้รวมตัวกันเดินข้ามสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ซึ่งมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลยืนรักษาการณ์โดยไม่มีการขัดขวางแต่อย่างใด พร้อมกันนี้ยังเปิดให้ผู้ชุมนุมที่รวมตัวบริเวณถนนพิษณุโลกข้ามสะพานชมัยมรุเชษฐ์เดินไปสมทบกับกลุ่มผู้ชุมนุม ที่ติดการสกัดแผงเหล็กของเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณแยกนางเลิ้ง
ฝ่าทุกด่านเข้าไปล้อมทำเนียบได้สำเร็จ
ต่อมาที่จุดสกัดแยกนางเลิ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจยอมเปิดทางให้ผู้ถูกสกัดบริเวณแยกนางเลิ้งมาสมทบกับผู้ชุมนุมที่ถนนพิษณุโลกได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้แผนการบุกยึดพื้นที่หน้าทำเนียบรัฐบาลของกลุ่มพันธมิตรฯประสบความสำเร็จอย่างราบรื่น พร้อมกันนี้กลุ่มผู้ชุมนุมยังร่วมกันเคลียร์พื้นที่บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ด้วยการดันรถคุมขังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จอดกลางสะพานออกไปให้พ้นเส้นทาง เพื่อเคลียร์ทางรอให้รถกระจายเสียงหลัก ซึ่งยังคงปักหลักอยู่บริเวณแยกนางเลิ้ง เตรียมเคลื่อนที่เข้ามาภายในถนนพิษณุโลก อย่างไรก็ตาม ทันทีที่กลุ่มพันธมิตรฯสามารถรวมตัวกันได้สำเร็จ ประชาชนที่ยังกระจัดกระจายอยู่รอบนอกทุกจุด ก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาภายในบริเวณดังกล่าว แล้วปักหลักลงนั่งบนพื้นถนนยาวเหยียดตั้งแต่แยกสวนมิสกวันไปจนถึงแยกนางเลิ้ง รวมทั้งกระจัดกระจายไปถึงหน้าบ้านพิษณุโลก
ใช้กฎหมู่ยึดถนนตั้งเวทีประกาศชัยชนะ
จากนั้นแกนนำได้นำรถกระจายเสียงมาจอดตั้งขวางบริเวณถนนพิษณุโลก พร้อมเปิดปราศรัยโจมตีรัฐบาล มีการโห่ไล่อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช รวมไปถึงการประกาศชัยชนะของการชุมนุม ในครั้งนี้ พร้อมกับมีการประกาศกฎการชุมนุม เน้นย้ำห้ามผู้ชุมนุมดื่มสุรา ห้ามพกพาอาวุธ ห้ามใช้ความรุนแรง ห้ามไปจับต้องทำลายทรัพย์สินบริเวณรั้วทำเนียบฯ เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากมีการเข้ายึดพื้นที่ของกลุ่มพันธมิตรฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มถอนกำลังกลับและถอยรถที่ใช้เป็นเครื่องกีดขวางทั้งหมดออกจากพื้นที่ เรียกเสียงปรบมือจากกลุ่มผู้ชุมนุม ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ใช้ความรุนแรง นอกจากนี้ผู้ชุมนุมบางรายได้ควักกล้องส่วนตัวบันทึกภาพเหตุการณ์เก็บไว้เป็นที่ระลึก นอกจากนี้ ยังเริ่มมีผู้สนับสนุนกลุ่มต่างๆเดินทางมาสมทบเป็นระยะ อาทิ กลุ่มพันธมิตรฯ จ.กำแพงเพชร ที่เดินทางมาพร้อมน้ำดื่ม นำมาสนับสนุน และระหว่างการเคลื่อนขบวน มีนางรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. และคณะ เดินทางมาร่วมชุมนุมอยู่ด้วย บริเวณแยกสวนมิสกวัน
ตชด.หญิงถูกม็อบดันล้มเหยียบแขนหัก
อย่างไรก็ตาม ในการเคลื่อนพลของพันธมิตรฯ ภายใต้การนำของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ จากลานพระบรมรูปทรงม้ามายังทำเนียบรัฐบาล โดยข้ามคลองเปรมประชากร ผ่านสำนักงาน ป.ป.ช. ไปยังทำเนียบฝั่งเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ในช่วงบ่าย ซึ่งมีกำลังตำรวจตระเวนชายแดนและหน่วยพลร่มหญิงมายืนตรึงเป็นแถว หน้ากระดาน พร้อมกับรถขังผู้ต้องหามาตั้งขวางไว้ที่หัวมุมถนนนครปฐมนั้น เมื่อผู้ชุมนุมประจันหน้ากับตำรวจ ได้พยายามดันแผงเหล็กที่ขวางไว้เพื่อฝ่าด่านเข้าไปยังหน้าทำเนียบ ระหว่างที่ยื้อยุดกันนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งได้พังรั้วเหล็กถาวร ที่ตั้งอยู่ริมถนนพิษณุโลก จนล้มลงมาทับตำรวจหลายนายที่ยืนเป็นแนวกำแพงขวางไว้ จากนั้นผู้ชุมนุมได้วิ่งกรูเข้าไปเหยียบซ้ำตำรวจที่ล้มลงกับพื้นถนน ทำให้ตำรวจพลร่มหญิงคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บแขนหัก ที่เหลือก็บาดเจ็บไปตามๆกัน ก่อนที่กลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 200 คน จะหักด่านตำรวจเข้าไปยึดเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ประชิดทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จเป็นจุดแรก พร้อมกับประกาศปักหลักรอกลุ่มพันธมิตรจากจุดอื่นๆ ที่จะฝ่าด่านเข้ามาสมทบอีก
โชคดีที่ตำรวจชายช่วยยกตัวออกมา
สำหรับตำรวจที่บาดเจ็บจากการปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐมี 4 นาย ได้แก่ ส.ต.ต.หญิงพรพิรุณ โตรำจร บาดเจ็บแขนขวาหัก จ.ส.ต.หญิง พจนา แก้วเกษศรี ข้อศอกซ้ายแตก ทั้งคู่สังกัด บก. สอ. บช.ตชด. ค่ายนเรศวร และ จ.ส.ต.คมสัน ศรีคำ อายุ 40 ปี ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สน.บางนา จ.ส.ต. ศราวุธ เลิศพร อายุ 40 ปี ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สน.ลุมพินี บาดเจ็บที่นิ้วมือซ้าย ถูกส่งตัวเข้ารักษา
ตรึงกำลังคุมเข้มคุ้มกันรอบทิศ
ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัย ภายในทำเนียบรัฐบาลก็เป็นไปอย่างเข้มงวด เปิดให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชนเข้าออกได้เพียงประตู 5 ฝั่งตรงข้ามกระทรวงศึกษาฯเพียงประตูเดียว ขณะที่ประตูทางเข้าออกอื่นๆ ถูกปิด โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนอารักขาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา มีการเตรียมกำลังตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล หน่วยคอมมานโด กองปราบปราม หน่วยสันติบาลประจำทำเนียบรัฐบาล และสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ จำนวน 4 กองร้อย พร้อมโล่และกระบองเตรียมรับมือกลุ่มพันธมิตรฯ รวมถึงกลุ่มมือที่สามที่มีการข่าวว่าอาจเข้ามาก่อเหตุสร้างความวุ่นวาย นอกจากนี้ ได้เตรียมแผนสำรองว่าหากเหตุการณ์คับขัน มีการปะทะกันอย่างหนัก จะมีหน่วยเคลื่อนที่เร็วอีก 2 กองร้อย เข้ามาเป็นกำลังเสริม ขณะเดียวกัน ยังเตรียมรถขังผู้ต้องหา รถดับเพลิงอีกหลายคัน เตรียมการไว้รับสถานการณ์ด้วย ทั้งนี้กองรักษาความปลอดภัยได้มีคำสั่งให้ตรึงกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ไปจนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย โดยจะมีการประเมินสถานการณ์แบบวันต่อวัน
สั่งปิดประตูกันกลุ่มชุมนุมบุกเข้ามา
ภายหลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมสามารถบุกเข้ามาประชิดรั้วทำเนียบฯได้สำเร็จ ในเวลาประมาณ 15.00 น. นั้น ได้มีการสั่งปิดประตูทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาลทุกประตูทันที พร้อมกับสั่งเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก กองบังคับการตำรวจภูธรภาค 2 เข้ามาสมทบอีก 200 ราย โดยได้กระจายกำลังรักษาความปลอดภัยทั่วทำเนียบฯ โดยเฉพาะบริเวณริมรั้วด้านถนนพิษณุโลก ที่มีการตั้งแถว ตรึงกำลังเป็นแนวยาวตลอดแนวรั้ว พร้อมกับโล่และกระบอง ยืนประจันหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่นอกรั้วทำเนียบ โดยมี พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน ผบก.น.1 มาคอยบัญชาการอยู่ภายในทำเนียบรัฐบาล และกล่าวกับผู้สื่อข่าวเพียง สั้นๆว่า หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรฯเคลื่อนกำลังมาประชิดรั้วทำเนียบแล้ว คงต้องตรึงกำลังรักษาสถานที่ราชการไว้ก่อน
“พุทธิพงษ์” จัดรถสุขา-แพทย์ให้พันธมิตรฯ
ในเวลา 16.00 น. ผู้ชุมนุมที่ยังอยู่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ได้รื้อเต็นท์และเวทีปราศรัยออก เพื่อเตรียมย้ายไปตั้งที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ฝั่งสำนักงาน ก.พ. จากนั้นได้มีเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดของเขตป้อมปราบฯกว่า 10 คน เข้ามาระดมทำความสะอาดบริเวณสะพานมัฆวานฯ และในถนนราชดำเนิน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดการจราจร ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะที่ขบวนผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตรฯเคลื่อนพลไปยังทำเนียบรัฐบาล มีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองผู้ว่าฯ กทม. อยู่ในขบวนด้วย โดยคอยอำนวยความสะดวก โดยการส่งรถสุขาและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่มาดูแลฝ่ายพันธมิตร
พันธมิตร ตจว.ฉุนถูก ตร.ค้นรถ
ในส่วนความเคลื่อนไหวของประชาชนต่างจังหวัด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรจากจังหวัดกำแพงเพชร อ่างทอง ที่เดินทางมาสมทบกับกลุ่มพันธมิตรใน กทม. ด้วยรถบัส 4 คัน และรถตู้อีก 5 คัน หวิดเกิดปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ขณะที่กลุ่มพันธมิตรดังกล่าว เดินทางมาถึงหมวดการทางบางปะหัน อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา ได้ถูกเจ้าหน้าที่ ตำรวจที่ตั้งด่านอยู่ เข้าตรวจค้นตามหน้าที่ ทำให้เกิดความไม่พอใจและมีปากเสียงกันขึ้นพร้อมกับมีการชุมนุมปิดถนนไว้ ต่อมา พ.ต.อ.วุฒิพงศ์ เพ็ชรกำเนิด รอง ผบก.ภ. จ.พระนครศรีอยุธยา เข้าชี้แจงกับผู้ชุมนุมว่า การตั้งด่านของตำรวจเป็นการทำงานตามปกติ ไม่ใช่เป็นการสกัดจับแต่อย่างใด ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการร้องเรียน ว่า ผู้ที่ขับขี่ยวดยานบนถนนสายเอเชีย เขต อ.มหาราชเชื่อมกับ อ.บางปะหัน ถูกตะปูเรือใบที่มีผู้โรยไว้เป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร ทิ่มเข้าที่ยางจนมีรถยางแบนกว่า30 คัน และต้องจอดรถเปลี่ยนยางริมถนนกันอย่างทุลักทุเล
ขึ้นเวทีขอกราบเท้าประชาชน
ในช่วงเย็นหลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหมดเข้ามารวมตัวกันบริเวณถนนพิษณุโลก หน้าทำเนียบรัฐบาลเบ็ด เสร็จแล้ว เวลาประมาณ 17.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ขึ้นเวทีปราศรัยกล่าวแสดงความยินดีถึงชัยชนะในการนำประชาชนเดินทางมาปักหลักที่ทำเนียบรัฐบาล ขอกราบเท้าประชาชนที่สามารถฝ่าด่านตำรวจเข้ามา จนสามารถยึดพื้นที่หน้าทำเนียบได้สำเร็จและขอคารวะจิตใจของทุกคน จากที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเดินทางมาปักหลักที่ทำเนียบ สุดท้ายก็ทำสำเร็จ ไม่มีครั้งไหนที่ประชาชนจะออกมาปกป้อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และราชบัลลังก์ มากขนาดนี้ ตนถูกฟ้องมาแล้วถึง 58 คดี เปรียบเหมือนนักรบที่ถูกศรยิงไป 58 แผล แต่ยังดึงออกมาแล้วขึ้นม้ามาต่อสู้ต่อไป ในฐานะลูกคนจีนคนหนึ่ง ขอคารวะน้ำใจประชาชนทุกคน จากนั้นบรรยากาศของการปราศรัยหน้าทำเนียบฯก็เริ่มดุเดือดขึ้น มีโฆษกจากสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีขึ้นเวทีกล่าวปลุกเร้าผู้ชุมนุม ให้ร่วมกันแสดงความยินดีกับความสำเร็จ โดยสลับกับการตะโกนขับไล่ “อดีตนายกฯทักษิณ” และ “นายกฯสมัคร” เป็นระยะๆ ขณะที่บรรดาแนวร่วมที่สนับสนุนพันธมิตรก็ทยอยมาปักหลักจองพื้นที่ฟังการปราศรัยในช่วงเย็น ในส่วนของเวทีพันธมิตรที่ตั้งหน้าสนามม้านางเลิ้ง ก็ยังเปิดปราศรัยต่อไป และมีการนำแผงเหล็กมากั้นรอบ เวที โดยมีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ขึ้นกล่าวโจมตีรัฐบาล
ผบ.ตร.บอกเจรจาแกนนำไม่ลงตัว
ต่อมาช่วงเย็น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. มาเป็นประธานประชุมสรุปสถานการณ์ชุมนุม ที่ บช.น. โดยมีการนำภาพเส้นทางโดยรอบทำเนียบฯ ที่มีการวางกำลังตำรวจและจุดที่ถูกกลุ่มชุมนุมเข้ามายึดพื้นที่ โดย พล.ต.อ.พัชรวาท ได้กำชับให้ปรับแผนการรักษาพื้นที่จุดที่เหลือบริเวณรอบทำเนียบฯ และพยายามอย่าให้มีการสนับสนุนกำลังเพิ่มเข้ามามาก และกล่าวว่า หลังกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปบริเวณทำเนียบฯแล้ว ตำรวจต้องดูต่อไปว่า กลุ่มผู้ชุมนุมจะอยู่กันนานแค่ไหน จะทำหน้าที่ในส่วนการดูแลความปลอดภัย ของประชาชนให้ดีที่สุด หากเขาจะปักหลักชุมนุมต่อ ตำรวจต้องดูแลความสงบเรียบร้อยต่อไปเรื่อยๆ ขอยืนยันว่าตำรวจได้พยายามพูดคุยเจรจาให้มีการเปลี่ยนสถานที่ชุมนุม แต่แกนนำยังไม่ตกลง

ผลสำรวจ
ส่วนใหญ่ 72.6% ไม่เห็นด้วยกับการปิดถนนเพื่อชุมนุมขับไล่รัฐบาล เห็นด้วย 13.8% ส่วนการบุดยึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ไม่เห็นด้วย 70.8% เห็นด้วย 14.8% การปิดล้อมทำเนียบ กระทรวงและสถานที่ราชการ ไม่เห็นด้วย 68.9% เห็นด้วย 16.9%

สำหรับความเห็นต่อการที่ตำรวจจะดำเนินการเอาผิดกับแกนนำกลุ่มพันธมิตรทั้ง 5 คน พบว่า เห็นด้วย 42.8% ไม่เห็นด้วย 31.7% ไม่แสดงความเห็น 25.5% ส่วนความเห็นต่อการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินในขณะนี้ ส่วนใหญ่ 46.9% เห็นว่ายังไม่ควรประกาศใช้ ขณะที่ 27.6% เห็นว่าควรประกาศใช้
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องการให้ทหารดำเนินการในขณะนี้ คือ 51.8% ให้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ร่วมกับตำรวจ 38.4% ให้อยู่เฉยๆ วางตัวเป็นกลาง 5% ให้ทำรัฐประหาร อีก 5.3% อื่นๆ เช่นให้รอดุสถานการณ์ไปก่อน
ส่วนสิ่งที่ต้องการเห็นเกี่ยวกับอนาคตรัฐบาล คือ ให้อยู่บริหารประเทศต่อไป 34.9% ให้มีการปรับเปลี่ยน 65.1% โดยยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ 33.3% ให้นายกรัฐมนตรีลาออก 17.0% ให้คณะรัฐมนตรีลาออก 14.8%
มติชน
ข้อมูลเพิ่มเติม politic·












ริ่มแล้ว! ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ 6 แกนนำม็อบถอนออกจากทำเนียบทันที2008-08-27 22:23:11·








............................................................................

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

การกระทำของกลุ่มพันธมิตรเป็นการกระทำที่แย่มาก ทั้งที่อ้างว่าทำเพื่อบ้านเมือง เอาประชาชนบางส่วนมาเป็นเครื่องมือในการทำงานของพวกเขา ไม่นึกถึงผลกระทบที่จะตามมา ไม่นึกถึงนายหลวง เห็นแก่ตัว เป็นการกระทำที่เลวร้ายมาก มากเกินกว่าจะหาสิ่งใดมาเทียบได้ ที่เร็วร้ายกว่านี้คือ การทำร้ายร่างกายของคนอื่น แกนนำของพันธมิตรเขาจะรู้ตัวไหมว่าเขากำลังประจารณ์บ้านเมืองให้ชาวโลกรู้ และเป็นการประจารณ์ความเลวของตัวเองอยู่
มาถึงวันนี้ เราก็คงระรู้กันแล้วว่าอะไรเป็นอะไรสำหรับหลายๆคนที่เห็นกรงจักรเป็นดอกบัว อีกไมนานกรมที่เขาธรรมจะกลับไปสนองตัวเขาเอง