29/8/51

แถลงการณ์ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) และองค์กรภาคี

เรื่อง ขอประณามการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจากเหตุการณ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 แม้ว่าการชุมนุมและการเคลื่อนไหวเพื่อแสดงความคิดเห็นทางการเมือง จะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนหรือกลุ่มองค์กรต่างๆ เป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ แต่การชุมนุมหรือการเคลื่อน ไหวเพื่อแสดงความคิดเห็นทางการเมืองต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย กรอบสิทธิของรัฐธรรมนูญและต้องไม่ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของคนในสังคม

แต่ในขณะนี้การเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กระทำการที่เป็นการละเมิดกรอบและบทบัญญติของกฎหมายด้วยการบุกเข้ายึดสถานที่ราชการ สถานีโทรทัศน์ การใช้กำลังคุกคามเจ้าหน้าที่ของรัฐ และใช้กำลังคุกคามสื่อมวลชน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการกระทำที่จะนำพาและก่อให้เกิดความขัดแย้งของคนในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ทั้งยังเป็นการขัดแย้งในจุดยืนในการชุมนุมและการเคลื่อนไหวเพื่อแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเองว่าจะใช้หลัก สันติวิธี ปราศจากอาวุธและหลัก อหิงสา

สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) และองค์กรภาคี มีความคิดเห็นต่อสถาน การณ์ที่เกิดขึ้นดังนี้

1.ขอประณามการกระทำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ใช้กำลังและความรุนแรงในการบุกเข้ายึดสถานที่ราชการและสถานีโทรทัศน์ซึ่งเป็นการละเมิดกรอบและบทบัญญัติของกฎหมาย อันจะนำไปสู่การสร้างค่านิยมทางการเมืองว่าในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองต้องจบลงด้วยการใช้กำลังและความรุนแรง

2.ขอเรียกร้องให้แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยุติการสร้างเงื่อนไขต่างๆ ที่จะนำไปสู่การรัฐประหารเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง

3.ขอเรียกร้องให้รัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้ความอดทนอดกลั้นในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงอันจะนำไปสู่การเสียเลือดเนื้อของพี่น้องคนไทยด้วยกันเอง

4.ขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนของสังคมได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักอันจะนำไปสู่การสร้างความสมานฉันท์และความสามัคคีของคนในชาติ

สุดท้ายนี้สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) และองค์กรร่วมภาคีหวังว่าปัญหาและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมในขณะนี้จะสามารถคลี่คลายลงด้วยแนวทางสันติวิธีและความสมานฉันท์ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกภาคส่วนของสังคมไทยจะร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงและในทางที่ถูกต้องเพื่อนำมาสู่ความสามัคคีของคนในชาติที่ยั่งยืน

ด้วยจิตสมานฉันท์สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.) และองค์กรภาคี
กลุ่มกิจกรรมนักศึกษาเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยรามคำแหงองค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.)
องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (มอ.ปัตตานี)
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาภาคอีสาน (สนนอ.)
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สนน.จชต.)
เครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน (คพช.)
กลุ่มประชาธิปไตยไม่ใช่แค่กิ๊ก
...............................................................................

นักศึกษาทั่วประเทศออกแถลงการณ์ประนามพันธมิตรยึดเมืองจุดชนวนรัฐประหารล้มล้างประชาธิปไตย

28 สิงหาคม 2551
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)และองค์กรภาคี คือ กลุ่มกิจกรรมนักศึกษาเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยรามคำแหง, องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (มอ.ปัตตานี), สหพันธ์นิสิตนักศึกษาภาคอีสาน (สนนอ.), สหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สนน.จชต.), เครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน (คพช.) และกลุ่มประชาธิปไตยไม่ใช่แค่กิ๊ก ออกแถลงการณ์ประณามการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ วอนหยุดสร้างเงื่อนไขนำไปสู่รัฐประหาร

ขณะเดียวกัน กลุ่มนักศึกษาปริญญาโทเพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่,กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ(ปรส.)และสำนักเรียนรู้การกระจายอำนาจและประชาธิปไตยท้องถิ่น ก็ออกแถลงการณ์ อีกฉบับหนึ่งประนามพันธมิตรว่ามีเบื้องหลังการชุมนุมเพื่อให้เกิดรัฐประหาร
.........................................................................

27/8/51

พันธมิตร ยึดทำเนียบรัฐบาล 21 มิ.ย.51-04:14น.





ยึดทำเนียบสำเร็จ พันธมิตร ประกาศชัยทันที [21 มิ.ย. 51 - 04:11]
ในที่สุดกลุ่มพันธมิตรฯก็ถึงวันดีเดย์ เคลื่อนพลออกจากสะพานมัฆวานรังสรรค์ ในช่วงเที่ยงของวันที่ 20 มิ.ย. ยาตราทัพมายังทำเนียบรัฐบาล โดยใช้แผนยุทธการสงคราม 9 ทัพ มีการแบ่งการเคลื่อนกำลังเป็นหลายจุด กระจายกันมายังทำเนียบรัฐบาล มีการวางแผนใช้เส้นทางถนนหลายเส้น นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนใช้เรือท้องแบนเคลื่อนพลทางน้ำมาตามคลองผดุงกรุงเกษม หากถูกตำรวจสกัดกั้นตามเส้นทางปกติ โดยการเคลื่อนพลที่ใช้แผนยุทธการสงคราม 9 ทัพครั้งนี้ ทำเสมือนหนึ่งเป็นการไปสู้รบกับอริราชศัตรูสำคัญของชาติ
ติวเข้มชายฉกรรจ์ที่เป็นทัพหน้าลุย
สำหรับบรรยากาศที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 20 มิ.ย. ก่อนมีการเคลื่อนพลมีกลุ่มพันธมิตรฯ เดินทางมารวมตัวกันจำนวนมากและอย่างต่อเนื่อง ทำให้ บรรยากาศบริเวณพื้นที่ดังกล่าวมีความคึกคัก ส่วนเต็นท์และเวทีที่เคยใช้เป็นที่ปราศรัยยังไม่มีการรื้อถอนออกแต่อย่างใด ขณะเดียวกันบรรดาสาวกกองทัพธรรม ก็ยังคงปฏิบัติภารกิจทำอาหารเลี้ยงผู้ชุมนุมตามปกติ ส่วนที่หน้ากองทัพบก ได้มีชายฉกรรจ์ที่ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายดูแลความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้ซักซ้อมการเตรียมความพร้อมในการเป็นแนวหน้าของการเคลื่อนขบวนไปยังทำเนียบฯ โดยชายกลุ่มดังกล่าวจะมีสัญลักษณ์ผ้าพันคอสีเขียว โพกหัวด้วยผ้าเหลืองเขียนคำว่า “กู้ชาติ” และถือไม้ด้ามธงชาติติดตัวกันทุกคน
เตรียมเคลื่อนพลทางน้ำหากถูกสกัดกั้น
ต่อมาเวลา 09.30 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้นำเรือไฟเบอร์ ท้องแบนจำนวน 10 ลำ ใส่รถ 6 ล้อ ของกองทัพธรรมมาจอดไว้ใกล้คลองผดุงกรุงเกษม เพื่อใช้เป็นพาหนะขนคนข้ามคลองหากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดไม่ให้เดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลบนเส้นทางปกติได้ ส่วนที่บริเวณสะพานมัฆวานฯ ยังคงมีการปราศรัยบนเวทีอย่างต่อเนื่อง โดยบริเวณเชิงสะพาน มีตำรวจตรึงกำลังอย่างแน่นหนาถึง 2 ชั้น โดยมีรถตำรวจและรถดับเพลิงจอดขวางอยู่ ตร.ตรึงกำลังรอบทิศทางถนนเข้าทำเนียบ ขณะที่บรรยากาศบริเวณรอบนอก ช่วงเช้าวันเดียวกัน ถนนทุกเส้นที่ผ่านเข้าทำเนียบรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม หน้าวัดมกุฏฯ ถนนพระราม 5 และถนนนครปฐม หน้าวัดเบญจมบพิตรฯ บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ถนนพิษณุโลกบริเวณสี่แยกมิสกวัน เจ้าหน้าที่ ตำรวจใช้แผงเหล็กปิดกั้นตลอดแนวพร้อมยืนตรึงกำลังไว้ไม่ยอมให้ยวดยานต่างๆ และบุคคลภายนอกกล้ำกรายเข้ามาอย่างเด็ดขาด
ฝันรัฐบาลต้องลาออกเร็วๆนี้
ก่อนเคลื่อนพลในเวลา 10.00 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ย้ำถึงจุดยืนของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า การ เดินทางไปทำเนียบจะไม่เข้าไปบุกยึดทำเนียบ จะไม่ด่าทอ ยั่วยุเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่เอาหนังสติ๊กไปยิงหัวเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่เอาก้อนหินไปปา เข้าใจว่าจะต้องมีพวกนรก ป่วนกรุงเข้ามา ทำให้ประชาชนหมดความน่าเชื่อถือ ใครก็ตามที่ทำสิ่งที่ตรงข้ามกับเรา ถึงแม้ว่าจะแต่งกายเหมือนเรา ใส่เสื้อเหลือง ผูกผ้าพันคอกู้ชาติ แต่หากพกพาอาวุธเข้ามาปะปนในกลุ่มพันธมิตรฯ ถือว่ากลุ่มดังกล่าวไม่ใช่ พวกเรา ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้เลย การเดินขบวน เมื่อเผชิญหน้ากับตำรวจก็จะยิ้มให้ และไม่ใช้ความรุนแรง ใดๆทั้งสิ้น กลุ่มพันธมิตรฯได้เตรียมแผนการรองรับเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะปักหลักอยู่ที่ใด เชื่อว่าต้องทำสำเร็จแน่นอน รัฐบาลต้องลาออกภายใน 1-2 วันนี้
จำลองนำพันธมิตรล้อมตำรวจ
จนเวลา 11.50 น. พล.ต.จำลองเดินนำหน้าชายฉกรรจ์ผ้าพันคอเขียวและกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 300 คน ออกจากสะพานมัฆวานฯไปตามถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม ไปถึงบริเวณซอยวัดโสมนัสราชวรวิหาร ซึ่งเป็นจุดแรกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล ประมาณ 200 คน ยืนตั้งแถวพร้อมโล่ป้องกัน จากนั้น พล.ต.จำลองสั่งให้กลุ่มผู้ชุมหยุดขบวนและนั่งลงกับพื้น พร้อมประกาศว่าอย่าด่าทอ อย่าทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยิ้มให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะเดียวกัน ฝั˜งตรงข้ามก็มีกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 300 คน เดินจากสนามม้านางเลิ้งเข้ามาสมทบ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มดังกล่าวตกอยู่ในวงล้อมของพันธมิตรฯ
กรูทลายกำแพงตำรวจเพื่อแหวกทาง
เวลา 12.05 น. กลุ่มผู้ชุมนุมจากสนามม้านางเลิ้ง กลุ่มดังกล่าวกรูเข้าไปดึงเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมา ทำให้ กลุ่มตำรวจเสียรูปขบวน กลุ่มของ พล.ต.จำลอง จึงทลายกำแพงของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ชั่วครู่ ก็สามารถแหวกทางออกไปได้ จากนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมตั้งขบวนเลี้ยวซ้ายไปถนนนครสวรรค์ ตรงไปสี่แยกสนามม้านางเลิ้ง โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมอีกหลายพันคนเดินตามมาสมทบ กระทั่งเดินถึงสี่แยกสนามม้านางเลิ้ง ก็เจอกับแผงเหล็กกั้นไว้ตลอดแนว โดยมี ตชด.และตำรวจปราบจลาจลตั้งกำแพงมนุษย์ 5 ชั้นหลังแผงเหล็กป้องกันไม่ให้กลุ่มพันธมิตรฯเล็ดลอดเข้าไปยังทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้น พล.ต.จำลองได้ขึ้นไปบนเวทีเคลื่อนที่ของรถหกล้อ ปราศรัยโจมตีการทำงานของรัฐบาล โดยมีนายสนธิ ลิ้มทองกุล และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 2 แกนนำตามมาสมทบ พร้อมกับประกาศยึดพื้นที่และนำเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่มาติดตั้งเปิดการปราศรัย ในขณะที่อาสาสมัครพันธมิตรฯและผู้ชุมนุมบางส่วนต้องคอยยืนประจันหน้ากับตำรวจที่ตั้งด่านสกัดกั้นไว้บริเวณนางเลิ้ง แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆเกิดขึ้น โดย พล.ต.จำลองได้ขอให้ผู้ชุมนุมนั่งลงกับพื้นถนนอย่างสงบเรียบร้อย
อีกด้านหนึ่ง นายสมศักดิ์ โกยสุข ได้นำกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากที่ตั้งเดินเท้าเลียบคลองผดุงกรุงเกษม ผ่านหน้าวัดมกุฏกษัตริยาราม เลี้ยวขวาเข้าถนนประชาธิปไตย ผ่านคุรุสภา เลี้ยวขวาเข้าแยกวังแดง ก็เจอกับกำแพงเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยตั้งแถวสกัดกั้นอยู่ กลุ่มผู้ชุมนุมจึงเข้าเจรจาขอเปิดทางประมาณ 15 นาที โดยเข้าไปผลักแผงเหล็กที่กั้นและยื้อยุดอยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจครู่ใหญ่ ก่อนที่ผู้ชุมนุมจะสามารถฝ่าแนวผ่านไปอย่างง่ายดาย
หาญกล้ายืนตัดโซ่รัดแผงเหล็กเย้ย ตร.
ส่วนที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ กลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งได้กรูเข้าตัดโซ่ที่ร้อยรัดแผงเหล็กของตำรวจ ที่ทำเป็นแนวกั้นไว้จำนวน 2-3 จุด บริเวณหลังเวทีปราศรัย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่แต่งกายในชุดปราบจลาจลเตรียม พร้อมปฏิบัติการอย่างเข้มข้นหากเกิดเหตุรุนแรงขึ้น ยืนสงบนิ่งมองดูผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตรฯตัดโซ่เหล็กออกไปอย่างง่ายดาย พร้อมตรึงกำลังประจันหน้ากัน ขณะที่ตำรวจนำรถ 6 ล้อ ขังผู้ต้องหามาจอดขวางไว้หลายคันทำเป็นแนวกั้นอีกชั้น
บุกตะลุยยึดพื้นที่ถนนพิษณุโลก
กระทั่งเวลา 14.47 น. กลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งสามารถยึดพื้นที่บนถนนพิษณุโลกหน้าทำเนียบรัฐบาลได้แล้ว ได้รวมตัวกันผลักดันรถขังผู้ต้องหาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จอดปิดทางเข้าบริเวณถนนนครปฐมเลียบคลองตลอดหน้าทำเนียบ เพื่อเปิดทางให้รถกระจายเสียงที่มีนายสมศักดิ์โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย และนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ยืนอยู่บนรถเคลื่อนที่เข้ามายังถนนพิษณุโลก และจอดปักหลักที่เชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ได้สำเร็จ ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องดังกึกก้องของผู้ชุมนุม ที่สามารถนำรถกระจายเสียงเข้าพื้นที่ชุมนุมได้ นอกจากนี้กลุ่มผู้ชุมนุมยังได้รวมตัวกันเดินข้ามสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ซึ่งมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลยืนรักษาการณ์โดยไม่มีการขัดขวางแต่อย่างใด พร้อมกันนี้ยังเปิดให้ผู้ชุมนุมที่รวมตัวบริเวณถนนพิษณุโลกข้ามสะพานชมัยมรุเชษฐ์เดินไปสมทบกับกลุ่มผู้ชุมนุม ที่ติดการสกัดแผงเหล็กของเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณแยกนางเลิ้ง
ฝ่าทุกด่านเข้าไปล้อมทำเนียบได้สำเร็จ
ต่อมาที่จุดสกัดแยกนางเลิ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจยอมเปิดทางให้ผู้ถูกสกัดบริเวณแยกนางเลิ้งมาสมทบกับผู้ชุมนุมที่ถนนพิษณุโลกได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้แผนการบุกยึดพื้นที่หน้าทำเนียบรัฐบาลของกลุ่มพันธมิตรฯประสบความสำเร็จอย่างราบรื่น พร้อมกันนี้กลุ่มผู้ชุมนุมยังร่วมกันเคลียร์พื้นที่บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ด้วยการดันรถคุมขังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จอดกลางสะพานออกไปให้พ้นเส้นทาง เพื่อเคลียร์ทางรอให้รถกระจายเสียงหลัก ซึ่งยังคงปักหลักอยู่บริเวณแยกนางเลิ้ง เตรียมเคลื่อนที่เข้ามาภายในถนนพิษณุโลก อย่างไรก็ตาม ทันทีที่กลุ่มพันธมิตรฯสามารถรวมตัวกันได้สำเร็จ ประชาชนที่ยังกระจัดกระจายอยู่รอบนอกทุกจุด ก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาภายในบริเวณดังกล่าว แล้วปักหลักลงนั่งบนพื้นถนนยาวเหยียดตั้งแต่แยกสวนมิสกวันไปจนถึงแยกนางเลิ้ง รวมทั้งกระจัดกระจายไปถึงหน้าบ้านพิษณุโลก
ใช้กฎหมู่ยึดถนนตั้งเวทีประกาศชัยชนะ
จากนั้นแกนนำได้นำรถกระจายเสียงมาจอดตั้งขวางบริเวณถนนพิษณุโลก พร้อมเปิดปราศรัยโจมตีรัฐบาล มีการโห่ไล่อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช รวมไปถึงการประกาศชัยชนะของการชุมนุม ในครั้งนี้ พร้อมกับมีการประกาศกฎการชุมนุม เน้นย้ำห้ามผู้ชุมนุมดื่มสุรา ห้ามพกพาอาวุธ ห้ามใช้ความรุนแรง ห้ามไปจับต้องทำลายทรัพย์สินบริเวณรั้วทำเนียบฯ เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากมีการเข้ายึดพื้นที่ของกลุ่มพันธมิตรฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มถอนกำลังกลับและถอยรถที่ใช้เป็นเครื่องกีดขวางทั้งหมดออกจากพื้นที่ เรียกเสียงปรบมือจากกลุ่มผู้ชุมนุม ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ใช้ความรุนแรง นอกจากนี้ผู้ชุมนุมบางรายได้ควักกล้องส่วนตัวบันทึกภาพเหตุการณ์เก็บไว้เป็นที่ระลึก นอกจากนี้ ยังเริ่มมีผู้สนับสนุนกลุ่มต่างๆเดินทางมาสมทบเป็นระยะ อาทิ กลุ่มพันธมิตรฯ จ.กำแพงเพชร ที่เดินทางมาพร้อมน้ำดื่ม นำมาสนับสนุน และระหว่างการเคลื่อนขบวน มีนางรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. และคณะ เดินทางมาร่วมชุมนุมอยู่ด้วย บริเวณแยกสวนมิสกวัน
ตชด.หญิงถูกม็อบดันล้มเหยียบแขนหัก
อย่างไรก็ตาม ในการเคลื่อนพลของพันธมิตรฯ ภายใต้การนำของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ จากลานพระบรมรูปทรงม้ามายังทำเนียบรัฐบาล โดยข้ามคลองเปรมประชากร ผ่านสำนักงาน ป.ป.ช. ไปยังทำเนียบฝั่งเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ในช่วงบ่าย ซึ่งมีกำลังตำรวจตระเวนชายแดนและหน่วยพลร่มหญิงมายืนตรึงเป็นแถว หน้ากระดาน พร้อมกับรถขังผู้ต้องหามาตั้งขวางไว้ที่หัวมุมถนนนครปฐมนั้น เมื่อผู้ชุมนุมประจันหน้ากับตำรวจ ได้พยายามดันแผงเหล็กที่ขวางไว้เพื่อฝ่าด่านเข้าไปยังหน้าทำเนียบ ระหว่างที่ยื้อยุดกันนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งได้พังรั้วเหล็กถาวร ที่ตั้งอยู่ริมถนนพิษณุโลก จนล้มลงมาทับตำรวจหลายนายที่ยืนเป็นแนวกำแพงขวางไว้ จากนั้นผู้ชุมนุมได้วิ่งกรูเข้าไปเหยียบซ้ำตำรวจที่ล้มลงกับพื้นถนน ทำให้ตำรวจพลร่มหญิงคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บแขนหัก ที่เหลือก็บาดเจ็บไปตามๆกัน ก่อนที่กลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 200 คน จะหักด่านตำรวจเข้าไปยึดเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ประชิดทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จเป็นจุดแรก พร้อมกับประกาศปักหลักรอกลุ่มพันธมิตรจากจุดอื่นๆ ที่จะฝ่าด่านเข้ามาสมทบอีก
โชคดีที่ตำรวจชายช่วยยกตัวออกมา
สำหรับตำรวจที่บาดเจ็บจากการปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐมี 4 นาย ได้แก่ ส.ต.ต.หญิงพรพิรุณ โตรำจร บาดเจ็บแขนขวาหัก จ.ส.ต.หญิง พจนา แก้วเกษศรี ข้อศอกซ้ายแตก ทั้งคู่สังกัด บก. สอ. บช.ตชด. ค่ายนเรศวร และ จ.ส.ต.คมสัน ศรีคำ อายุ 40 ปี ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สน.บางนา จ.ส.ต. ศราวุธ เลิศพร อายุ 40 ปี ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สน.ลุมพินี บาดเจ็บที่นิ้วมือซ้าย ถูกส่งตัวเข้ารักษา
ตรึงกำลังคุมเข้มคุ้มกันรอบทิศ
ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัย ภายในทำเนียบรัฐบาลก็เป็นไปอย่างเข้มงวด เปิดให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชนเข้าออกได้เพียงประตู 5 ฝั่งตรงข้ามกระทรวงศึกษาฯเพียงประตูเดียว ขณะที่ประตูทางเข้าออกอื่นๆ ถูกปิด โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนอารักขาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา มีการเตรียมกำลังตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล หน่วยคอมมานโด กองปราบปราม หน่วยสันติบาลประจำทำเนียบรัฐบาล และสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ จำนวน 4 กองร้อย พร้อมโล่และกระบองเตรียมรับมือกลุ่มพันธมิตรฯ รวมถึงกลุ่มมือที่สามที่มีการข่าวว่าอาจเข้ามาก่อเหตุสร้างความวุ่นวาย นอกจากนี้ ได้เตรียมแผนสำรองว่าหากเหตุการณ์คับขัน มีการปะทะกันอย่างหนัก จะมีหน่วยเคลื่อนที่เร็วอีก 2 กองร้อย เข้ามาเป็นกำลังเสริม ขณะเดียวกัน ยังเตรียมรถขังผู้ต้องหา รถดับเพลิงอีกหลายคัน เตรียมการไว้รับสถานการณ์ด้วย ทั้งนี้กองรักษาความปลอดภัยได้มีคำสั่งให้ตรึงกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ไปจนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย โดยจะมีการประเมินสถานการณ์แบบวันต่อวัน
สั่งปิดประตูกันกลุ่มชุมนุมบุกเข้ามา
ภายหลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมสามารถบุกเข้ามาประชิดรั้วทำเนียบฯได้สำเร็จ ในเวลาประมาณ 15.00 น. นั้น ได้มีการสั่งปิดประตูทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาลทุกประตูทันที พร้อมกับสั่งเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก กองบังคับการตำรวจภูธรภาค 2 เข้ามาสมทบอีก 200 ราย โดยได้กระจายกำลังรักษาความปลอดภัยทั่วทำเนียบฯ โดยเฉพาะบริเวณริมรั้วด้านถนนพิษณุโลก ที่มีการตั้งแถว ตรึงกำลังเป็นแนวยาวตลอดแนวรั้ว พร้อมกับโล่และกระบอง ยืนประจันหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่นอกรั้วทำเนียบ โดยมี พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน ผบก.น.1 มาคอยบัญชาการอยู่ภายในทำเนียบรัฐบาล และกล่าวกับผู้สื่อข่าวเพียง สั้นๆว่า หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรฯเคลื่อนกำลังมาประชิดรั้วทำเนียบแล้ว คงต้องตรึงกำลังรักษาสถานที่ราชการไว้ก่อน
“พุทธิพงษ์” จัดรถสุขา-แพทย์ให้พันธมิตรฯ
ในเวลา 16.00 น. ผู้ชุมนุมที่ยังอยู่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ได้รื้อเต็นท์และเวทีปราศรัยออก เพื่อเตรียมย้ายไปตั้งที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ฝั่งสำนักงาน ก.พ. จากนั้นได้มีเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดของเขตป้อมปราบฯกว่า 10 คน เข้ามาระดมทำความสะอาดบริเวณสะพานมัฆวานฯ และในถนนราชดำเนิน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดการจราจร ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะที่ขบวนผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตรฯเคลื่อนพลไปยังทำเนียบรัฐบาล มีนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองผู้ว่าฯ กทม. อยู่ในขบวนด้วย โดยคอยอำนวยความสะดวก โดยการส่งรถสุขาและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่มาดูแลฝ่ายพันธมิตร
พันธมิตร ตจว.ฉุนถูก ตร.ค้นรถ
ในส่วนความเคลื่อนไหวของประชาชนต่างจังหวัด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรจากจังหวัดกำแพงเพชร อ่างทอง ที่เดินทางมาสมทบกับกลุ่มพันธมิตรใน กทม. ด้วยรถบัส 4 คัน และรถตู้อีก 5 คัน หวิดเกิดปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ขณะที่กลุ่มพันธมิตรดังกล่าว เดินทางมาถึงหมวดการทางบางปะหัน อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา ได้ถูกเจ้าหน้าที่ ตำรวจที่ตั้งด่านอยู่ เข้าตรวจค้นตามหน้าที่ ทำให้เกิดความไม่พอใจและมีปากเสียงกันขึ้นพร้อมกับมีการชุมนุมปิดถนนไว้ ต่อมา พ.ต.อ.วุฒิพงศ์ เพ็ชรกำเนิด รอง ผบก.ภ. จ.พระนครศรีอยุธยา เข้าชี้แจงกับผู้ชุมนุมว่า การตั้งด่านของตำรวจเป็นการทำงานตามปกติ ไม่ใช่เป็นการสกัดจับแต่อย่างใด ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการร้องเรียน ว่า ผู้ที่ขับขี่ยวดยานบนถนนสายเอเชีย เขต อ.มหาราชเชื่อมกับ อ.บางปะหัน ถูกตะปูเรือใบที่มีผู้โรยไว้เป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร ทิ่มเข้าที่ยางจนมีรถยางแบนกว่า30 คัน และต้องจอดรถเปลี่ยนยางริมถนนกันอย่างทุลักทุเล
ขึ้นเวทีขอกราบเท้าประชาชน
ในช่วงเย็นหลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหมดเข้ามารวมตัวกันบริเวณถนนพิษณุโลก หน้าทำเนียบรัฐบาลเบ็ด เสร็จแล้ว เวลาประมาณ 17.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ขึ้นเวทีปราศรัยกล่าวแสดงความยินดีถึงชัยชนะในการนำประชาชนเดินทางมาปักหลักที่ทำเนียบรัฐบาล ขอกราบเท้าประชาชนที่สามารถฝ่าด่านตำรวจเข้ามา จนสามารถยึดพื้นที่หน้าทำเนียบได้สำเร็จและขอคารวะจิตใจของทุกคน จากที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเดินทางมาปักหลักที่ทำเนียบ สุดท้ายก็ทำสำเร็จ ไม่มีครั้งไหนที่ประชาชนจะออกมาปกป้อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และราชบัลลังก์ มากขนาดนี้ ตนถูกฟ้องมาแล้วถึง 58 คดี เปรียบเหมือนนักรบที่ถูกศรยิงไป 58 แผล แต่ยังดึงออกมาแล้วขึ้นม้ามาต่อสู้ต่อไป ในฐานะลูกคนจีนคนหนึ่ง ขอคารวะน้ำใจประชาชนทุกคน จากนั้นบรรยากาศของการปราศรัยหน้าทำเนียบฯก็เริ่มดุเดือดขึ้น มีโฆษกจากสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีขึ้นเวทีกล่าวปลุกเร้าผู้ชุมนุม ให้ร่วมกันแสดงความยินดีกับความสำเร็จ โดยสลับกับการตะโกนขับไล่ “อดีตนายกฯทักษิณ” และ “นายกฯสมัคร” เป็นระยะๆ ขณะที่บรรดาแนวร่วมที่สนับสนุนพันธมิตรก็ทยอยมาปักหลักจองพื้นที่ฟังการปราศรัยในช่วงเย็น ในส่วนของเวทีพันธมิตรที่ตั้งหน้าสนามม้านางเลิ้ง ก็ยังเปิดปราศรัยต่อไป และมีการนำแผงเหล็กมากั้นรอบ เวที โดยมีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ขึ้นกล่าวโจมตีรัฐบาล
ผบ.ตร.บอกเจรจาแกนนำไม่ลงตัว
ต่อมาช่วงเย็น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. มาเป็นประธานประชุมสรุปสถานการณ์ชุมนุม ที่ บช.น. โดยมีการนำภาพเส้นทางโดยรอบทำเนียบฯ ที่มีการวางกำลังตำรวจและจุดที่ถูกกลุ่มชุมนุมเข้ามายึดพื้นที่ โดย พล.ต.อ.พัชรวาท ได้กำชับให้ปรับแผนการรักษาพื้นที่จุดที่เหลือบริเวณรอบทำเนียบฯ และพยายามอย่าให้มีการสนับสนุนกำลังเพิ่มเข้ามามาก และกล่าวว่า หลังกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปบริเวณทำเนียบฯแล้ว ตำรวจต้องดูต่อไปว่า กลุ่มผู้ชุมนุมจะอยู่กันนานแค่ไหน จะทำหน้าที่ในส่วนการดูแลความปลอดภัย ของประชาชนให้ดีที่สุด หากเขาจะปักหลักชุมนุมต่อ ตำรวจต้องดูแลความสงบเรียบร้อยต่อไปเรื่อยๆ ขอยืนยันว่าตำรวจได้พยายามพูดคุยเจรจาให้มีการเปลี่ยนสถานที่ชุมนุม แต่แกนนำยังไม่ตกลง

ผลสำรวจ
ส่วนใหญ่ 72.6% ไม่เห็นด้วยกับการปิดถนนเพื่อชุมนุมขับไล่รัฐบาล เห็นด้วย 13.8% ส่วนการบุดยึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ไม่เห็นด้วย 70.8% เห็นด้วย 14.8% การปิดล้อมทำเนียบ กระทรวงและสถานที่ราชการ ไม่เห็นด้วย 68.9% เห็นด้วย 16.9%

สำหรับความเห็นต่อการที่ตำรวจจะดำเนินการเอาผิดกับแกนนำกลุ่มพันธมิตรทั้ง 5 คน พบว่า เห็นด้วย 42.8% ไม่เห็นด้วย 31.7% ไม่แสดงความเห็น 25.5% ส่วนความเห็นต่อการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินในขณะนี้ ส่วนใหญ่ 46.9% เห็นว่ายังไม่ควรประกาศใช้ ขณะที่ 27.6% เห็นว่าควรประกาศใช้
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องการให้ทหารดำเนินการในขณะนี้ คือ 51.8% ให้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ร่วมกับตำรวจ 38.4% ให้อยู่เฉยๆ วางตัวเป็นกลาง 5% ให้ทำรัฐประหาร อีก 5.3% อื่นๆ เช่นให้รอดุสถานการณ์ไปก่อน
ส่วนสิ่งที่ต้องการเห็นเกี่ยวกับอนาคตรัฐบาล คือ ให้อยู่บริหารประเทศต่อไป 34.9% ให้มีการปรับเปลี่ยน 65.1% โดยยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ 33.3% ให้นายกรัฐมนตรีลาออก 17.0% ให้คณะรัฐมนตรีลาออก 14.8%
มติชน
ข้อมูลเพิ่มเติม politic·












ริ่มแล้ว! ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ 6 แกนนำม็อบถอนออกจากทำเนียบทันที2008-08-27 22:23:11·








............................................................................

25/8/51

8 ชนเผ่าดอย




















เมี่ยน
อ่าข่า
ม้ง
ลาหู่
ลีซู
กะเหรี่ยง
คะฉิ่น
ดาราอั้ง
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีจำนวนผู้คนที่อาศัยร่อนเร่อยู่ตามภูเขาซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “ ชาวเขา ” ผู้คนเหล่านี้อาศัยอยู่ตามเขตชายแดนของ 5 ประเทศ คือ พม่า ลาว เวียดนาม ไทย และจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมณฑลยูนนานที่คนเหล่านี้ถูกขนานนามว่า “ ชาวเขา ” ก็ด้วยเหตุที่เขาเหล่านี้ยังชีพอยู่ในเทือกเขาหนาทึบมาหลายชั่วอายุคน ถึงแม้ว่าเขาจะมีลักษณะของการมีรูปแบบการใช้ชีวิตตามภูเขา แต่ก็เป็นการยากที่จะบอกว่าเขาคล้ายกัน เขาเหล่านี้เป็นตัวแทนของภาษา วัฒนธรรม รูปแบบการแต่งกาย และระบบความเชื่ออย่างมากมายนับไม่ถ้วน
เวบไซท์นี้ให้ความสนใจกับชนเผ่าในประเทศไทย โดยเน้นกับ 6 เผ่าใหญ่ที่สุดในไทย ซึ่งได้แก่ อาข่า ม้ง กะเหรี่ยง ลาหู่ ลีซู และเมี่ยน พิพิธภัณฑ์ชาวเขาออนไลน์จะนำเสนอข้อมูลวิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งไม่มีสักเผ่าที่อาศัยอยู่ในบริเวณเขตชายแดน กลุ่มชนเผ่าในไทยได้เข้ามาในประเทศไทยเป็นศตวรรษมาแล้ว อย่างไรก็ตามการศึกษานี้เป็นการนำเสนอ โดยเปรียบเทียบกับชนเผ่าเดียวกันในประเทศข้างเคียง โดยมองถึงสภาพทางการเมือง และสังคมเป็นหลัก
ในบรรดาชนเผ่าที่ปรากฎอยู่บนพิพิธภัณฑ์ มีเพียงชนเผ่าเมี่ยนที่มีการเขียนแบบดั้งเดิม (โดยใช้ตัวหนังสือจีน) ประวัติการเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนเหล่านี้มาจากการบอกเล่าปากต่อปาก ข้อมูลทางภาษาศาสตร์ของชาวฮั่นในประเทศจีน และการคาดเดา เป็นที่เชื่อกันว่าทุก ๆ เผ่า ยกเว้นกะเหรี่ยงมีต้นกำเนิดในธิเบต และอพยพมามากกว่าศตวรรษสู่มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ซึ่งเป็นที่ที่มีชนเผ่าอาศัยอยู่มากที่สุดในทุกวันนี้ เชื่อกันว่าชาวกะเหรี่ยงมีต้นกำเนิดจากพม่า การอพยพของชนเผ่าในเมืองไทย เป็นผลมาจากการสู้รบในสงคราม และปฎิวัติทางการเมืองในจีน พม่า และลาว
................................................................................................................................

Legend of Akaq




ตามตำนานการเล่าขานมาของชนเผ่าอ่าข่า ปากต่อปากคนต่อคน มายาวนานกว่า 60 ชั่วอายุคน เพื่อเป็นการสืบหาต้นตระกุลว่าเป็นใคร มาจากไหน ซึ่งชนเผ่าอ่าข่าเรียกว่า จึ เล่าขานกันว่า อู่มะ , อู่ว้อง , ว้องยอก , ยอกยือ , ยือโท , โทมา , มายอ , ย่อแน่ , แน่แป , แปซุ้ม , ซุ้มมีโอ ฯลฯ อ่าข่ามีความเชื่อว่าก่อนมาถึงซุ้มมีโอ นั้นเป็นทุกสิ่งที่ปรากฏในจักรวาล เช่น ลม ฟ้า อากาศ ฯลฯ ทุกสิ่งพูดได้ และหลังจากซุ้มมีโอก็มีสองอย่างคือผีและคน ซึ่งมีแม่เป็นคนเดียว เชื่อว่ามนุษย์เรามีหน้าอกกว้าง 7 ศอก เกิดออกมาพูดได้เดินได้ และมีมนุษย์คนหนึ่งที่มีภรรยาท้องแก่จวนจะคลอด ผู้เป็นสามีได้ไปหาไม้เพื่อมาทำเป็นครกกระเดื่อง ระหว่างที่ไปนั้นภรรยาได้คลอดลูกชายออกมา เมื่อคลอดออกมาลูกจึงถามแม่ว่าพ่อไปไหน แม่จึงตอบไปว่าไปเอาครกกระเดื่องในป่า ลูกจึงเดินทางไปตามหาพ่อในป่า พอไปถึงก็เจอพ่อกำลังโค่นต้นไม้ขนาดใหญ่ และไม้ล้มไปทับลูกชาย กิ่งไม้แทงบริเวณหัวไหล่ ลูกจึงตะโกนบอกพ่อว่าหนามแทงที่หัวไหล่ พ่อจึงใช้ขวานฟันเอากิ่งไม้ที่หัวไหลออก ทำให้มนุษย์เราตัวเล็กลงตั้งแต่บัดนั้นมา เพราะอุบัติเหตุถูกต้นไม้ทับ หลัง ซุ้มมีโอ , โอ โทเล , โท่เล จุม , จุมมอ แย , มอแย จา , จาทื่อสี่ , ที่สี่ ลี้ , ลี้ภู แบ , ภูแบ อู , อูโย ย่า , โยย่า ช่อ , ช่อมอ โอ๊ะ , มอโอ๊ะ เจ่ , เจ่ เท่อ เพอะ , เท่อ เพอะ ม้อ , เท่อเพอะม้อ ถือว่าเป็นอ่าข่าคนแรก ส่วน เจ่ เท่อ เพอะ คือเป็นแม่รวมของผีและคน และเป็นแหล่งเกิดศาสนาต่างๆบนโลก ซึ่งอ่าข่าเรียกว่า อะมา มาตะ ซึ่งแยกคำได้ดังนี้ อะมา แปลว่าแม่ มาตะ แปลว่าร่วมกัน ความหมายคือ แม่ร่วมของคนและผี มีลักษณะข้างหลังมีนม 9 เต้า เอาไว้สำหรับผี ด้านหน้าอกมี 2 เต้าสำหรับมนุษย์ มนุษย์เราจึงมีเพียงแค่สองเต้านมเท่านั้น ช่วงที่ผีและคนอยู่ในครอบครัวเดียวกัน ให้ผีทำงานกลางคืน แล้วให้มนุษย์นอน กลางวันมนุษย์ทำงาน ให้ผีนอน เสือกับควายอยู่ด้วยกัน นกอินทรีย์กับไก่อยู่ด้วยกัน ดำเนินชีวิตอย่างนี้มาตลอด จนมาถึงอะมามาตะได้เสียชีวิตลง ผีกับมนุษย์ก็ได้เลาะกัน นกอินทรีย์กับไก่แยกกันอยู่ ควายกับเสือไม่ถูกกัน สาเหตุที่ทะเลาะกันเพราะไม่สามารถทำพิธีร่วมกันได้ระหว่างผีกับมนุษย์ เพราะผีกับมนุษย์มีความแตกต่างกัน เช่น ผีนอนกลางวัน ส่วนมนุษย์นอนกลางคืน เมื่ออะมามาตะได้เสียชีวิตในเวลากลางวัน ผีกำลังนอนหลับอยู่ อะมามาตะได้หันนม 9 เต้า มาทางมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์มีนม 9 เต้า มนุษย์เราจึงหันข้าง 9 เต้าไปทางผี เพราะไม่อยากได้นม 9 เต้า ผีจึงได้นม 9 เต้า จึงมีความเชื่อว่าผีมีนม 9 เต้า ได้จัดพิธีกรรมให้อะมามาตะ โดยเชิญพี้มาของผีชื่อว่า ยา โล เบ เช้ ได้ไปหาสัตว์ทุกชนิดที่มีครรภ์มา และสัตว์ได้แหกคอกหนี เหลือแต่ หมี กระลอก กึโห ( เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง มีรูปร่างลักษณะคล้ายกระลอก มีขนาดเท่าแมว ) อ่าข่าเมื่อไปล่าสัตว์ได้สัตว์ดังกล่าวมาและมีครรภ์นำมากินไม่ได้เด็ดขาด เพราะมีความเชื่อว่านั้นคือสัตว์ที่ผีใช้ในการประกอบพิธีกรรมให้อะมามาตะ เมื่อพี้มาของผีท่องไป อะมามาตะก็ลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า ไปไม่ได้ หนทางยาก ( หมายถึงท่องบทสวดแล้วพาวิญญาณไปถึงสวรรค์ไม่ได้ ) ท่องอยู่ด้วยกัน 3 คืน ก็ส่งวิญญาณไม่ได้ จึงได้เชิญพี้มาของมนุษย์มาท่องต่อ ชื่อว่าพี้มา ยา แม อะห่อง ซึ่งเป็นพี้มาคนแรกของอ่าข่าและคนแรกของโลก เมื่อพี้มาของมนุษย์ท่องบทสวดไปได้ 1-2 คืน อะมามาตะก็ลุกขึ้นมาแล้วกล่าวว่า ไปยังไม่ได้ ไปได้แค่ครึ่งเดียว เมื่อท่องถึงคืนที่ 3 ซึ่งเป็นคืนสุดท้าย เมื่อจบบทสวดอะมามาตะก็สิ้นใจตายทันที และต้นกำเนิดพิธีกรรมต่างๆ จึงเกิดจากตรงนี้ สืบทอดกันมาอย่างเคร่งครัดจนถึงปัจจุบัน
หลังจากอะมามาตะได้สิ้นใจตาย ผีกับคนก็ยังอยู่ในครอบครัวเดียวกัน ชื่อบ้านว่า ดา โก๊ะ ดากะ แต่เริ่มทะเลาะกันหนักขึ้น เนื่องจากต่างฝ่ายต่างอยากแยกไปอยู่กันอย่างเอกเทศ จึงกล่าวโทษซึ่งกันแล้วกันว่า มนุษย์อยู่บ้านผีไปทำงานกลับมาก็กล่าวโทษมนุษย์ว่าขโมยไข่ผี ผีไปไร่คนก็กล่าวโทษผีว่าขโมยแตง ซึ่งจริงๆ แล้วไม่มีใครขโมยกัน เมื่อกล่าวหาซึ่งกันและกันหนักขึ้น มนุษย์กับผีก็อยู่ในครอบครัวเดียวกันไม่ได้ ก็เลยสาบานกันและให้มีการแบ่งเขต ต่างฝ่ายต่างจะไม่เห็นกัน และไม่ไปล้ำเขตซึ่งกันและกัน แบ่งกลางคืนให้ผี กลางวันให้มนุษย์ จึงได้ทำพิธีกรรมแยกจากกัน โดยให้คนปิดหน้าและหันหลังให้ผี ผียืนมองคน เอากระด้งปิดหน้าสุนัข อ่าข่าจึงมีความเชื่อว่าเวลาสุนัขหอน หรือเห่า เพราะว่าเห็นผีอย่างลางๆ มองจากรูกระด้ง และเชื่อว่าผีเห็นคน แต่คนไม่เห็นผี นอกจากขวัญอ่อน เวลาเจอผีหลอก
ชนเผ่าอ่าข่าจึงนิยมเอาคำสาบานของผีกับคนที่ว่าจะไม่ล้ำเขตซึ่งกันและกันมาเป็นคาถามในการทวงถามผี และเชื่อว่าผีกลัวน้ำลายคนมาก เพราะน้ำลายคนถ้าถูกผี ผีตัวนั้นจะเป็นโรคเรื้อน เวลาเจอเหตุการณ์ไม่ดีต่างๆ อ่าข่าจึงมีวัฒนธรรมคือต้องคายน้ำลายทิ้งเพื่อให้ผีกลัว
**ข้อมูลจาก มูลนิธิกระจกเงา

18/8/51

Politics of Thailand

The politics of Thailand currently take place in a framework of a constitutional monarchy, whereby the Prime Minister is the head of government and a hereditary monarch is head of state. The Judiciary is independent of the executive and the legislative branches.

Thailand has been ruled by kings since the thirteenth century. In 1932, the country officially became a constitutional monarchy, though in practice, the government was dominated by the military and the elite bureaucracy. The country's current constitution was promulgated in 2007.

The King of Thailand has little direct power under the constitution but is a symbol of national identity and unity. King Bhumibol — who has been on the throne since 1946 — commands enormous popular respect and moral authority, which he has used on occasion to resolve political crises that have threatened national stability.

On 23 December 2007, a general election was held following a recent military coup by the Council for National Security on 19 September 2006. The People's Power Party, led by Samak Sundaravej, won the majority of seats in the parliament. A civilian coalition government was formed on 28 January 2008 with five other minor parties leaving the Democrats, led by Mr. Abhisit Vejjajiva, as the only opposition party.

Executive branch

The king has little direct power under the constitution but is a symbol of national identity and unity. The present monarch has a great deal of popular respect and moral authority, which has been used to resolve political crises.
The head of government is the Prime Minister. Under the constitution, the Prime Minister must be a Member of Parliament. Cabinet members do not have to be Members of Parliament. The legislature could hold a vote of no-confidence against the Premier and members of his Cabinet if it had sufficient votes.

[edit] Legislative branch
Under the new 2007 Constitution, the bicameral Thai legislature is called the National Assembly or informally, the Parliament (Thai: รัฐสภา, Rathasapha). It consists of a House of Representatives (สภาผู้แทนราษฎร, sapha phuthaen ratsadon) of 480 seats and a Senate (วุฒิสภา, wuthisapha) of 150 seats.
The House of Representatives is made up of 400 members from constituency elections and 80 members from "proportional representation", as termed in the Constitution. However, the correct term for Thailand's "proportional representation" is actually parallel voting or Mixed Member Majoritarian (MMM), where the 80 seats are divided, to different political parties, according to the proportion of the "proportional representation" votes, each party receives, in the 8 election districts (10 seats per district).
The Senate is made up of 76 elected members (one for each province) and the rest (74) are selected from nominated candidates, from the academic sector, the public sector, the private sector, the professional sector and other sectors, by the Senates Selection Committee.
Members of House of Representatives serve four-year terms, while Senators serve six-year terms.

[edit] Political parties and elections
Political activities were banned by the junta after the coup on 19 September 2006. However, this is no longer the case after the formation of a civilian government.
The junta originally promised that democratic elections would occur within 12 months. However, the timeframe for elections was extended to 17 months. A general election was finally held on 23 December 2007. See results below:
For other political parties see List of political parties in Thailand. An overview on elections and election results is included in Elections in Thailand.

From Wikipedia, the free encyclopedia

WELCOME TO CHIANG RAI!


Chiangrai is the most northern province of Thailand. The Chiangrai Province is bordering Myanmar (Burma) on the north, Laos on the east, Phayao and Lampang on the south and Chiangmai on the southwest. Chiangrai is about 785 km from Bangkok and 182 km from Chiangmai and can be reached by plane (Chiang Rai International Airport) or by bus. Chiangrai was built in 1262 by King Mengrai. King Mengrai himself was the founder of the Kingdom of Lanna. Chiangrai was occupied by Burma between 1648 and 1786. After that Chiangrai became a part of Thailand again. The most important attractions of Chiangrai province are: Phra That Doi Tung, Chiang Saen National Museum, The Golden Triangle, Doi Mae Salong, The border town Maesai, Pu Kaeng Waterfall, Hill Tribes, Elephant Riding, Rafting and much more.

15/8/51

Should parents be responsible if their children behave badly?

In the present, there are many problems about family. If their children behave badly, should parents be responsible? This question, there are both agree and disagree. This essay will look at some reasons to tell you that it isn’t parents’ responsibility.

Parents’ responsibility about their children depends on how old the children are. Refer to Dixiedar’s opinion from www.google.co.th about this topic, she told “teenagers should accept the blame because they're old enough to know better, but someone younger than that might not know right from wrong in some cases.” I agree with her but not at all. I think not only teenagers should accept consequences from them act but also children who over 7 years old should.

Parents’ responsibility is only teaching or guidance what is well-behave and misbehave. According to Orion’s opinion from www.google.co.th about this topic, she said “every human is instilled mechanics which make them unique and thus they will act out according to what they are experiencing. No one but that person has the ability to control how they act or speak.”

According to Badbende’s answer from www.google.co.th about this topic, he said “these days we have the government telling us we can't spank our kid, ground them at home, or discipline them with out the fear of having them taken away.” We have to observe the low so when the children behave badly we should go with children getting into the course the low.

In conclusion, parents’ duty isn’t responsible for their children’s behave but they shouldn’t neglect their duty to teach and be good model for them. Problems don’t depend on should parents be responsible or not. We should resolve at origin of problems, by starting at yourself, your family. Try to make every day of your family be the happiest family.




Miss. Kanoknapa Sriwatthanasakunchai
5030301124
English Program
การอ่านและการเขียนเชิงวิพากษ์
14/08/2008

If you could change on important thing about your hometown, what would you change? Use reasons and specific examples to support our answer.

My hometown is a rural area of Chiang Rai province. In my hometown, there are many human races, especially hill tribe. So it make there has many problems. This essay will look at some problems that I would change if I could change.

Almost of human race in my hometown are hill tribes. Nowadays, they are not pay attention to education so much. Usually, when they finish studying secondary school, they stop studying and they also do not like learning any thing too. They want to work. Almost of them are labors, for example, built worker, employer, etc. That is a reason to make them poor when they are old because they do not have knowledge for make a living all of them life.

Chiang Rai is province of frontier between Thailand and Myanmar. It is easy place to transport the drug. There are many ways to transport such as by car, motorcycle, on foot, etc. Now, transporting is more difficult than past time to catch them.

In my hometown, there are lots of folklores each human race, especially hill tribe. They have about 12 different kinds of folklore. But now regrettable, they will become to forgotten things because theirs posterity do not interested to inherit it. I want them keep it for theirs identity forever.

In concluded, although in Chiang Rai have many problem. But there are many goods where to tour, for example Khun Korn waterfall, Phu Chee fa, Rong Khun temple, Doi charng, etc. Not only where to tour but also there are many kinds of delicious food. When you have free time, I want you visit there. I confirm many things will make you impress them.

Are zoos cruel to wild animals?

The most people have been to zoos think about zoos 2 ways. Some people think zoos are the cruel places to wild animals. But some people think zoos are the places for save wild animals. This essay will look at some of good thinks for theirs living in zoos.

First of all, wild animals are parts of natural resources. There are lots of animals in the world. Many kinds of theirs died out. According to Ministry of Agriculture and Cooperatives in 2002, there are 15 kinds of Reserved animals such as Eld’s deer, Fea’s Barking deer, Schomburgk’s Deer, Marbled cat, Javan Rhino, Sarus Crane, Kouprey, Wild Water Baffalo, Serow, Gurney’s Pitta, Dugong, Malayan Tapir, White-eyed River-Martin, Goral, and Sumatran Rhino.
Protected animals are 1,302 kinds of all animals.

Second, when people have fee time, always do something for relax. Visiting the zoo is a choice for people do. Not only relax but also entertain and learn animals’ lifestyle.

Finally, all of animals in zoos, they are taken care of by zoos officers for many things such as eating, living, relaxing, and looking after health.
In conclude, I think, zoos are not cruel to wild animals. From many reasons in this essay can confirm zoos are the best places for theirs living. However, zoos also need budget, because they have not enough money to take care of all animals in zoos. Income from contribute and selling tickets are budgets to support zoos for taking care of animals.

Are zoos cruel to wild animals?

Wild animals are parts of natural resources. There are lots of wild animals in the world. Many kinds of theirs died out. They died of many reasons. Dying out of wild animals is a reason for must to have a lot of zoos.