23/12/51

ภาษาเขียนอ่าข่า

หลังจากที่แต่ละเชื้อชาติ แต่ละเผ่าพันธุ์ได้กระจัดกระจายออกไปอาศัยอยู่ตามที่ต่างๆ พระเจ้าก็ได้เรียกหัวหน้าของแต่ละเชื้อชาติมาเพื่อทำการมอบภาษาเขียนให้ เพื่อให้ใช้ในการบันทึกเรื่องราว หรือพิธีกรรมต่างๆ ต่างคนต่างก็เตรียมอุปกรณ์ไปเพื่อให้พระเจ้าประทานภาษาเขียนให้ อ่าข่าดีใจใหญ่ที่จะได้มีภาษาเขียนเป็นของตนเอง ความดีใจบวกกับความตื่นเต้นของอ่าข่า จึงทำให้อ่าข่าลืมเอาอุปกรณ์ติดมือไปด้วย พอไปถึงพระเจ้าก็ได้ทำการมอบภาษาเขียนให้กับแต่ละเชื้อชาติ แต่ละ เผ่าพันธุ์ แต่พอคิวมาถึงอ่าข่า อ่าข่าไม่มีอะไรที่จะให้พระเจ้าเขียนตัวอักษรลงให้ แต่ก็ยังดีที่มีหนังวัวติดอยู่กับตัว จึงเอาหนังวัวแผ่นนั้นให้พระเจ้าเขียนตัวอักษรให้ หลังจากทุกเชื้อชาติได้ภาษาเขียนของตนเองที่พระเจ้าประทานให้แล้ว ก็ได้เดินทางกลับบ้าน

ด้วยระยะทางที่ไปเอาตัวอักษรจากพระเจ้านั้นไกลพอสมควร ทำให้แต่ละคนเหนื่อย พอมาได้ระยะหนึ่งอ่าข่าเกิดหิวข้าวขึ้นมา บวกกับไม่ได้ตระเตรียมเสบียงอาหารไปด้วย ขนาดที่เชื้อชาติอื่นได้เตรียมเสบียงมาพร้อม ท้ายสุดด้วยความหิวมาก อ่าข่าจึงตัดสินใจเผาแผ่นหนังวัวที่พระเจ้าประทานตัวอักษรให้กินจนอิ่ม เพราะเป็นทางเลือกสุดท้ายของเขา ที่จะทำให้เขากลับไปถึงหมู่บ้านได้ ด้วยอ่าข่ากินแผ่นหนังวัวที่พระเจ้าประทานตัวอักษรให้จนหมด อ่าข่าจึงไม่มีตัวอักษรใช้ตั้งแต่นั้นมา ขนาดที่เชื้อชาติอื่นมีตัวอักษรใช้กัน

ฉะนั้นในการทำอะไร หรือสืบทอดเรื่องราวต่างๆ อ่าข่าจึงได้แต่ใช้วิธีการจดจำ ชาวอ่าข่าจึงเป็นเชื้อชาติที่มีความจำดีเป็นเลิศ ในการจดจำและเรียนรู้ ไม่ว่าเรื่องสมุนไพร หรือบทสวดของหมอผีที่มีการถ่ายทอดโดยการบอกเล่าและฝึกปฏิบัติเอง การสืบทอดเรื่องราวต่างๆของชาวอ่าข่า จึงเป็นแบบการเรียนรู้จากรุ่นสู่อีกรุ่นหนึ่งจนถึงปัจจุบัน

เพื่อนผี

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งอาศัยอยู่ในป่า เขามีอาชีพล่าสัตว์ วันหนึ่งเขาออกไปล่าสัตว์ในป่า คืนนั้นเขายิงหนูได้ 1 ตัว แล้วเอากลับบ้านอย่างมีความสุขที่ได้อาหารเย็นแล้ว อีกคืนหนึ่งเขาก็ออกมาล่าสัตว์อีก คืนนี้เขายิงหนไดู้ เหมือนคืนที่แล้ว แต่พอเขาจะเดินไปเก็บหนู พอหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เขาเลยต้อง กลับบ้านด้วยมือเปล่า คืนต่อมาเขาก็ไปยิงหนูเช่นเคย แต่พอเดินไปเก็บหนู ก็พบว่ามีลูกธนูปักที่หนูอยู่ 2 ดอก ทั้งๆที่ยิงไปแค่ดอกเดียวเอง ชายผู้นี้จึงคิดว่าคงมีคนมายิงได้พร้อมเขาเหมือนกัน เลยแบ่งหนูแล้ววางไว้ที่เดิมครึ่งหนึ่งสำหรับเจ้าของธนูอีกดอกหนึ่ง คืนต่อมาเขาก็ออกไปยิงหนู แต่ขณะที่ซุ่มอยู่เขาก็ได้ยินเสียงผิวปาก เขาเลยถามออกไปว่าใครมาผิวปากแถวนี้ ให้ออกมาเร็วๆ แล้วผีก็ออกมาพร้อมบอกว่าเป็นคนที่เขาแบ่งหนูให้เมื่อคืน จากนั้นผีตนนี้ก็เลยชวนเขา ให้ขี่หลังเพราะผีจะพาไปเที่ยว แต่ต้องหลับตาขณะอยู่บนหลังด้วย ชายผู้นี้ทำตามโดยดี พอมาถึงเมืองผี เขาก็ลืมตา ชายผู้นี้ได้มีชีวิตอยู่ในเมืองผีจนมีภรรยาและลูกสาวด้วยกัน 1 คน การอยู่ในเมืองผี จะต้องพูดแต่ความจริง แต่ชายคนนี้ชอบพูดโกหก
อยู่มาวันหนึ่งผีตนเดิมที่พาเขามาก็ทนเห็นเขาโกหกต่อไปไม่ไหวเลยนำมาส่งที่เก่าที่เขามาโดยให้ลูกมาอยู่ด้วย เขากลับมาใช้ชีวิตทำไร่ ล่าสัตว์ เลี้ยงวัวควายเหมือนเดิม ลูกสาวของเขาเป็นเด็กฉลาด สามารถสร้างสะพานด้วยทราย ฆ่าวัวไปบูชา ครั้งหนึ่งลูกสาวของเขาฆ่าวัวไปบูชาพระเจ้า วัวตัวนั้นเป็นวัวของเจ้าของฟาร์ม ทั้งเขาและลูกเลยถูกไล่ออก ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำ ลูกสาวเลยคิดทำรังนกไว้บนต้นไม้ แล้วขังปลาไหลเอาไว้ วันหนึ่งมีพ่อค้าจีนขี่ม้าผ่านมา ลูกสาวเลยเดินมาถามเศรษฐีว่า นี่คือรังอะไร ถ้าทายถูกจะยอมเป็นลูกจ้างตลอดชีวิต แต่ถ้าพ่อค้าจีนทายผิดต้องเอาม้ามาให้ แล้วพ่อค้าก็ตอบไปว่ามันคือรังนก แต่พอเอาลงมาดูก็ปรากฏว่า ในรังมีปลาไหล พ่อค้าเลยเสียม้า จากนั้นเป็นต้นมาสองคนพ่อลูก ก็ใช้มาตัวนี้ในการค้าขายจนร่ำรวย

แมวผู้มีอำนาจ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีตั๊กแตน แมลงวัน กิ้งก่า และหิ่งห้อย เป็นเพื่อนกัน อยู่มาวันหนึ่ง สัตว์เพื่อนรักทั้งสี่ก็ชวนกันไปหาปลาที่แม่น้ำ เมื่อไปถึงแม่น้ำ กิ้งก่าก็พูดว่า “ ฉันจะไม่ตัดไม้มาตกปลาหรอก เพราะฉันจะใช้หางของฉันแทน ” จากนั้นกิ้งก่าก็คว้าเหยื่อมาผูกกับปลายหางแล้วก็รีบหย่อนลงในน้ำ ทันใดนั้นก็มีปลาตัวโตว่ายมาแล้วงับเอาทั้งเหยื่อและหางของเจ้ากิ้งก่าไป เจ้ากิ้งก่ารีบร้องให้เพื่อนช่วย “ ช่วยด้วย ! ช่วยด้วย ! ฉันถูกปลางับหาง ” พอพูดจบเจ้ากิ้งก่าก็หล่นหายไปกับสายน้ำ สัตว์ทั้งสามที่เหลือจากตกปลาต่อจนค่ำ เจ้าแมลงวันชวนเพื่อนๆกลับบ้าน เจ้าตั๊กแตนตอบไปว่า “ ฉันยังไม่กลับหรอก ขาฉันยาวอยู่แล้ว แป๊บเดียวก็ถึงบ้านแล้ว ” พอเพื่อนๆกลับกันไปหมด เจ้าตั๊กแตนก็ต้องเดินกลับคนเดียว มันเดินไปขาก็ติดกับหญ้า ต้องเสียเวลาแกะออก ดึกมาแล้วแต่เจ้าตั๊กแตนก็ยังไม่บ้านสักที มันพยายามเดินไปจนเจอรังนก พอเจอแม่นก เจ้าตั๊กแตนก็พูดว่า “ ขอฉันนอนด้วยได้ไหม ” แม่นกตอบว่า “ ฉันให้เธอนอนหลับด้วยไม่ได้หรอก ลูกฉันมีหลายตัว แล้วก็ยังเล็กมากด้วย ” “ ให้ฉันนอนเถอะ นี่มันดึกมากแล้ว เอาอย่างนี้นะ ฉันจะนอนหุบขาหุบแขนให้นะ ” ตั๊กแตนกล่าว
จากนั้นพอนอนไปจนถึงรุ่งเช้า ก็มีกวางตัวหนึ่งมาร้องอยู่หน้ารังนกทำให้เจ้าตั๊กแตนตกใจ ไปถีบที่หัวลูกนกจนแตก แม่นกถามว่า ” ทำไมมาถีบหัวลูกฉัน ” ตั๊กแตนตอบว่า “ ก็เพราะกวางมันร้อง ฉันตกใจเลยถีบหัวลูกเธอ ” แม่นกเลยถามกวางว่า “ เธอร้องทำไมกวางน้อย ” “ ฉันตกใจที่ต้นไม้ล้ม ” กวางตอบ กวางก็หันไปถามต้นไม้ว่าเหตุใดต้นไม้จึงล้ม “ ก็ปลวกจะมากินฉันนี่ ” ต้นไม้ตอบ ต้นไม้หันไปถามปลวกว่า “ เธอมากินฉันทำไม ” ปลวกตอบว่า “ ควายจะมาเหยียบฉัน ฉันเลยต้องกินเธอไง ” จากนั้นเจ้าปลวกก็หันไปถามควายถึงสาเหตุบ้าง ควายตอบว่า “ ฉันกลัวถูกเชือกมัด ฉันเลยต้องกินเธอไง ” จากนั้นควายก็หันไปถามเชือกด้วยคำถามเดียวกัน กับที่ถามกันมา เชือกก็ตอบว่า “ ฉันถูกหนูไล่กัด ” “ แล้วหนู เธอมากัดฉันทำไม ” “ เจ้าแมวอ้วนจะมาจับฉันกิน ” หนูตอบ หนูเลยถามแมวกลับไปว่า “ จะมาจับฉันทำไม ” แมวตอบว่า “ หัวหน้าฉันสั่งมา ” เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้ ก็ไม่สามารถใครได้ เพราะความเชื่อของอาข่าบอกไว้ว่า ห้ามฆ่าและกินแมว

คางคกกับเสือ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีคางคกกับเสือเป็นเพื่อนกัน วันหนึ่ง คางคกก็ท้าเสือว่า “ เรามาลองดูไหมว่าใครจะสามารถข้ามแม่น้ำได้เร็วกว่ากัน ” เมื่อเสือตอบตกลง เจ้าคางคกก็บอกเสือว่า “ ถ้าเจ้าไปถึงกลางแม่น้ำให้กระดิกหาง 3 ครั้งด้วยนะ ” จากนั้นเสือก็เดินข้ามแม่น้ำไป เมื่อไปถึงกลางแม่น้ำ เสือก็กระดิกหางไป 3 ครั้ง เจ้าคางคกก็รีบกระโดดเกาะหางเสือ แล้วเจ้าคางคกก็รีบกระโดดข้ามไปถึงฝั่ง โดยที่เสือไม่รู้ว่าคางคกหลอกใช้ พอมาถึงฝั่ง เสือเห็นคางคกรออยู่แล้วก็สงสัยเลยถามออกไปว่า “ ทำไมเจ้าถึงมาเร็วนักล่ะ ” “ ใช่ ข้ามารอเจ้านานมาจนกินหมากหมดรสชาติไปแล้วคำหนึ่ง ” แล้วต่อมาคางคกก็ท้าเสืออีกว่า “ เรามาลองดูไหมว่า ใครจะอยู่ในกองไฟได้นานโดยไม่ไหม้ ” จากนั้นเจ้าคางคกก็อาสาเข้าไปคนแรก มันลงไปในหลุมที่แอบขุดเอาไว้ก่อนจุดไฟ แล้วเสือก็เป็นคนจุดไฟ เสร็จแล้วเสือก็แช่งให้คางคกตายเร็วๆ พอไฟติดได้ครู่หนึ่ง คางคกก็ออกมาพร้อมกับตัวที่เปื้อนไปด้วยขี้เถ้า เจ้าเสือตกใจและงงว่า คางคกรอดมาได้อย่างไร เลยถามคางคกว่า “ เจ้าทำยังไงถึงไม่ไหม้ ” คางคกตอบว่า “ ยิ่งไฟแรงก็ต้องยิ่งเข้าไปอยู่ในกองไฟ ” ต่อมาถึงตาเสือเข้าไปบ้าง คางคกก็เป็นคนจุดไฟ แล้วก็แช่งเสือให้ตายเร็วๆบ้าง พอไฟลุกเสือก็รีบวิ่งกระโจนเข้าไปในกองไฟ แต่ก็รีบออกมาเพราะ ถูกไฟไหม้จนทำให้ตัวเสือกลายเป็นลายไหม้ อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ต่อมาเสือก็ท้าคางคกบ้าง “ เรามาอ้วกแข่งกันดีกว่า ” เสือเริ่มอ้วกออกมาก่อน ในกองอ้วกของเสือมีแต่กระดุกสัตว์ทั้งนั้น พอถึงตาเจ้าคางคก มันก็อ้วกออกมาบ้าง ในกองอ้วกของคางคกมีขนเสือปนออกมาด้วย ทำให้เสือตกใจมากและคิดว่าคางคกตัวนิดเดียวสามารถกินเสือที่ตัวใหญ่กว่าได้ด้วยหรือ เสือกลัวถูกคางคกกิน เลยรีบวิ่งหนีคางคกไปเจอลิงฝูงหนึ่ง ลิงเลยถามว่า เสือวิ่งมาทำไม เสือตอบว่า “ ข้าหนีเจ้าคางคกมา มันกินเสือได้ทั้งตัวแน่ะ ” พวกลิงพากันหัวเราะเยาะในความโง่ของเสือ

ช้างกับราชสีห์

กาลครั้งหนึ่งช้างกับราชสีห์เป็นเพื่อนกัน พวกเขาได้ยินคนในหมู่บ้านคุยกันว่า หมู่บ้านหนึ่งมีครกกระเดื่องที่ไม่ต้องใช้แรงคนตำแต่ใช้แรงจากน้ำแทน พวกเขาอยากจะเห็นอย่างยิ่งจึงคุยกันว่า ราชสีห์ : ถ้าจะไปดูใครที่ฉลาดกว่าฉัน ฉันก็คงทนดูไม่ได้หรอก
ช้าง : แต่ฉันไม่กลัวหรอก ฉันตัวใหญ่เหยียบดิน ดินก็ยุบ ไปลากไม้ ไม้ก็ยังหัก ราชสีห์เห็นความตั้งใจของช้างว่ายังไงจะไปดูให้ได้ก็บอกกับช้างว่าให้ฝากอัณฑะไว้กับตน(ช้างจึงไม่มีอัณฑะ) ช้างฝากอัณฑะไว้แล้วจึงออกเดินทาง จนกระทั่งเจอช่างตีเหล็กผู้เฒ่าลูกชาย 2 คนกำลังเผาเหล็กอยู่ที่เตาไฟ พอดีช้างเดินเข้าไปพวกเขาตกใจจึงเอาเหล็กนาบที่คอช้าง ช้างกลัวจึงยอมให้คนเป็นเจ้าของ ทำให้ช้างกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของคนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

นกแก้วกับยักษ์

ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งมี พ่อหม้ายอาศัยอยู่กับลูกสองคน เขามีความคิดอยากจะมีภรรยาใหม่เขาจึงเข้าไปจีบผู้หญิงในหมู่บ้าน แต่หญิงสาวคนนั้นบอกว่าถ้ามีลูกแล้วจะไม่แต่งงานด้วย ให้พาลูกไปไว้ที่อื่น รุ่งเช้าเขาหลอกลูกเดินไปข้างนอกแล้วก็ฝังลูกทั้งเป็นแต่โชคดีที่สุนัขมาช่วยขุ้ยหลุม เด็กน้อยทั้งสองจึงรอดกลับมาบ้านได้

วันต่อไป พ่อก็พาเดินออกไปในป่า ระหว่างทางมีดอกไม้ ห่อจึงหลอกให้ลูกรออยู่ตรงนั้นแล้วเขาแอบเดินกลับบ้านคนเดียว ลูกๆก็พากันร้องไห้ ใกล้ๆกับที่เด็กๆอยู่นั้นมีสามี ภรรยายักษ์คู่หนึ่งทำไร่อยู่แถวนั้น ทั้งสองชวนกันออกมาดูเห็นเด็กน่ารักสองคน พ่อยักษ์อยากจะกินเนื้อเด็กๆแต่แม่ยักษ์อยากจะเลี้ยงไว้จึงขอพ่อยักษ์ ทั้งสองจึงพาเด็กๆกลับบ้าน

วันต่อมา พ่อยักษ์และแม่ยักษ์จะออกไปข้างนอกได้สั่งลูกๆว่าอย่าขึ้นไปเล่นบนเพดานบ้านนะ สองวันแรกลูกๆก็เชื่อฟังดีแต่วันที่สามด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงพากันปีนขึ้นไปดู น้องชายพลาดเดินไปชนกระทะที่มีน้ำยาอยู่ข้างในนิ้วข้างหนึ่งจุ้มลงไปในน้ำยาซึ่งไม่สามารถล้างออกได้แต่ด้วยความกลัวพ่อกับแม่จะรู้ ว่าเล่นซนจึงเอามีดขู่ออก เมื่อพ่อแม่กลับมาบ้านน้องก็เอามือซ่อนไว้ข้างหลัง แม่สงสัยจึงดึงนิ้วออกมาเมื่อเห็นบาดแผลของลูกก็เอานิ้วอมไว้ในปาก เมื่อเอาออกมาแผลก็หายไป

วันต่อมาเด็กๆก็พากันขึ้นไปเล่นอีก คราวนี้ทั้งสองคนตกลงไปในกระทะทั้งตัว โดยเอาโซ่มาผูกไว้ที่คอ ทำให้ทั้งสองกลายเป็นนกแก้ว บินออกไปเกาะอยู่ที่ต้นไม้หน้าบ้าน พ่อแม่กลับมาก็เสียใจที่ลูกกลายเป็นนก เมื่อบอกให้ทั้งสองลงมาลูกๆก็ไม่ยอมลง พ่อกับแม่ร้องไห้จนขาดใจตาย พี่และน้องช่วยกันขุดหลุมฝังศพพ่อแม่ เสร็จแล้วก็พากันบินเข้าป่าไป วันเดียวกันนั้นลูกสาวของเจ้าเมืองได้ออกมาดักนก นกตัวน้องบินไปติดกับของหญิงสาว เธอจับออกมาดูแล้วพอใจที่นกตัวนี้สวย ดูไปดูมาเห็นโซ่ที่คอของนกเธอจึงดึงออก ทันใดนั้นนกได้กลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม เธอจึงกลับไปบอกพ่อและแม่ว่าเธอจะแต่งงาน ทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เวลาผ่านไปสามีบอกกับภรรยาว่า ตอนนี้ชีวิตของผมมีทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์แล้วเหลือเพียงอย่างเดียวที่ผมยังไม่มี คือผมอยากจะไปตามหาพี่ชายของผมที่พลัดพรากกันมานาน หลังจากวันนั้นเขาจึงออกตามหาพี่ชายจนได้เจอกัน และมาอยู่ด้วยกันจนพี่ชายไปตามหาคู่ของตัวเอง

ผีกะหัง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีครอบครัวแสนสุขครอบครัวหนึ่ง มีทั้งพ่อแม่และลูกชายสองคน พวกเขาได้ไปปลูกบ้านอยู่ในหมู่บ้านของผีกระหัง แต่พวกเขาไม่ทราบมาก่อน วันหนึ่งชาวบ้านเดินทางไปไร่จำเป็นต้องเดินผ่านหน้าบ้านของพวกเขา บังเอิญเห็นเด็กน้อยทั้งสองกำลังวิ่งเล่นอยู่หน้าบ้าน เขาบอกเพื่อนบ้านว่า “ หมูสองตัวนี้น่ากินจัง ”

หลังจากนั้นพวกเขาก็วางแผนฆ่าลูกทั้งสองคนกิน พ่อแม่ทราบข่าวก็เสียใจมาก พ่อกับแม่จึงรื้อบ้านแล้วสร้างบ้านใหม่โดยสร้างแบบไม่มีช่องว่างให้แม้แต่แมลงวันก็ยังไม่สามารถบินเข้ามาได้ เมื่อมาถึงวันขึ้นบ้านใหม่ พวกเขาก็หลอกชาวบ้านให้เข้าไปอยู่ข้างในบ้านจากนั้นก็ล็อกประตู แล้วจุดไฟเผาบ้าน หลังจากไฟมอดลงแล้วกลับมีเมล็ดน้ำเต้างอกขึ้นมา และถ้าใครนำเมล็ดน้ำเต้านั้นมากินก็จะเป็นผีกระหังตนต่อไป

วันขึ้นบ้านใหม่

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ชาวบ้านคนหนึ่งอยากจะจัดงานฉลองขึ้นบ้านใหม่ เขาคิดจะฆ่าควายเพื่อนำมาทำอาหาร
เจ้าของบ้าน : เราจะฆ่าเจ้ามาทำอาหารเลี้ยงแขก ในวันขึ้นบ้านใหม่นี้นะ
ควาย : ท่านลองคิดดูเถอะว่า นาของท่านกว้างใหญ่แค่ไหนเราก็ไถให้ท่าน

เจ้าของบ้านได้ฟังดังนั้นก็เปลี่ยนใจไม่ฆ่าควายแต่จะฆ่าวัวแทน วัวได้ยินดังนั้นจึงพูดว่า
วัว : ท่านลองคิดดูว่า ข้าวของท่านมากมายแค่ไหนเราก็ลากให้ท่านทั้งหมด ถ้าท่านไม่คิดถึงบุญคุณของ เรา เราคงจะต้องตาย เจ้าของบ้านได้ยินก็เปลี่ยนใจไม่ฆ่าวัวแต่จะฆ่าหมาแทน หมาได้ยินก็บอกว่า
หมา : ท่านลองคิดดูว่า จะหน้าร้อน ฝน หนาว ขนาดไหนเราก็เฝ้าบ้านให้ท่านแล้วท่านจะไม่นึกถึงข้าบ้างเลยหรือ เจ้าของบ้านคิดว่าจะไม่ฆ่าหมาแล้วแต่จะฆ่าหมูเพราะคนให้อาหารหมูกินโดยที่หมูไม่ได้ทำอะไรให้คนเลย จึงเป็นที่มาของการฆ่าหมูในวันขึ้นบ้านใหม่หรือมีงานฉลองตลอดมา

อ่าเย้อจ๊อเบิง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีผู้กล้าชาวอาข่านามว่า “ อ่าเย้อจ๊อเบิง ” เขาเป็นคนมีความสามารถทำให้ฤดูหนาวมีแดด มีฝนตกได้ในฤดูร้อน วันหนึ่งเขาออกไปทำไร่ ด้วยความฉลาดของเขา เขาสามารถทำไร่เสร็จได้เร็วโดยไม่มีคนช่วย เพราะเขาให้สัตวมา์ช่วย ด้วยความที่เขามีความเก่งกล้าสามารถเกินหน้าเกินตา จึงทำให้มีชาวบ้านหลายคนหมั่นไส้และอยากจะกำจัดเขา เลยพยายามหาทางแกล้งทุกวิถีทาง อ่าเย้อจ๊อเบิง มีม้าอยู่ตัวหนึ่ง ใช้ขี่ไปไหนมาไหน
ครั้งหนึ่งชาวบ้านที่คิดจะกำจัดเขาเลยเอาไม้ไผ่ที่ตัดปลายแหลม ไปแอบวางไว้แล้วเอาใบไม้ปิดไว้เพื่อให้ม้าที่อ่าเย้อจ๊อเบิงเดินมาเหยียบ แต่ด้วยความฉลาดของเขาทำให้รอดมาได้ อีกไม่นาน ชาวบ้านกลุ่มที่อิจฉาอ่าเย้อจ๊อเบิง ก็ออกอุบายว่ามีไก่ไปติดอยู่กับรั้วบ้าน ให้อ่าเย้อจ๊อเบิงไปช่วยหน่อย แล้วเขาก็ไปช่วยสำเร็จ ต่อมาชาวบ้านก็พยายามล่อให้อ่าเย้ิิอจ๊อเบิงออกมา โดยออกอุบายว่ามีหมาขึ้นไปบนหลังคาบ้าน ลงมาไม่ได้ ให้อ่าเย้ิิอจ๊อเิบิงช่วยเอาลงมาหน่อย อ่าเย้ิอจ๊อเบิงไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าหมามาเหยียบอยู่บนหัว เลยออกจากบ้านหวังจะมาฆ่าหมาเสีย โดยเขาลืมไปเลยว่าเป็นกับดักของชาวบ้านที่หวังจะฆ่าเขา พอเขาออกมาชาวบ้านก็เลยโดนชาวบ้านรุมยิงด้วยธนู แต่อ่าเย้อจ๊อเบิงก็หลบและรอดมาได้ กระโดดขี่ม้าหนีไป คราวนี้เขาไม่รอดจากหลุมไม้ไผ่ที่วางไว้คราวที่แล้ว ด้วยความรีบของเขาเอง ไม่ทันระวังจึงตกลงไปในหลุมโดนไม้ไผ่เสียบตาย ขณะนั้นเมียของเขาก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ เพื่อปกป้องลูกไม่ให้เขามาเห็น เมียของเขาต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ
จนกระทั่งคลอดลูกชายออกมาพร้อมกับมีม้าอีกตัวหนึ่งด้วยที่ออกมาพร้อมๆกัน เมียอ่าเย้อจ๊อเบิงเกรงว่าลูกชายของเขา จะถูกชาวบ้านฆ่าเพราะกลัวว่าจะเก่งเหมือนกับพ่อของเขา เลยเอากระโปรงไปตากไว้หน้าบ้าน เพื่อให้ชาวบ้านคิดว่าลูกที่เกิดมาของตัวเองเป็นลูกสาว หาได้เป็นลูกชาย ม้าที่ออกมาพร้อมๆกันก็เป็นม้าที่สวยมาก ทั้งยังมีปีกบินได้และไม่มีใครสามารถขี่ได้ นอกจากอ่าเย้อจ๊อเบิง วันหนึ่งลูกชายของอ่าเย้อจ๊อเบิง เกิดอยากขี่ม้าไปเที่ยวบ้าง แต่ยายไม่อนุญาต แต่ลูกชายของอ่าเย้อจ๊อเบิงก็ดื้อดันอยากจะขี่ให้ได้ แล้วในที่สุด เขาก็สามารถปราบม้าพยศตัวนี้ได้ แล้วก็ขี่มันบินไปจนไปตกที่ที่ยายตากข้าวไว้ ยายเข้าใจผิด นึกว่าไก่บินลงมากินข้าวที่ตากไว้ จึงเอาไม้ฟากลงไป ทำให้ปีกม้าหัก เมื่อยายรู้ว่าไม่ใช่ไก่แต่เป็นม้าของหลานเอง จึงบอกหลานด้วยความรู้สึกผิดว่า ไม่เป็นไรเดี๋ยวยายเอาขี้ผึ้งมาต่อปีกให้ใหมนะ่ แล้วยายก็นำขี้ผึ่งมาต่อปีกของม้่าจนม้าสามารถบินได้ แล้วก็บินต่อได้ ลูกชายอ่าเย้อจ๊อเบิงก็ขี่ม้าบินไปได้สักพัก ด้วยแสงแดดที่ร้อนระอุ ทำให้ขี้ผึ้งละลายปีกม้าเลยหลุด ลูกชายของอ่าเย้อจ๊อเบิงเลยตกลงมาในบ่อน้ำลึกจนจมน้ำตาย

อ่าอู๊จาลา

อ่าอู๊จาลาเป็นหนุ่มกำพร้า ฐานะยากจนมากแต่เขาเป็นคนที่ฉลาดแกมโกง หากินด้วยการใช้ขี้มูกมาหลอกคน วันหนึ่ง เขาเดินทางไปหมู่บ้านต่างถิ่น ด้วยความหิวอยากจะหาของกิน จึงคิดเล่ห์เหลี่ยมไปด้วยขณะที่เดินก็ไปเจอบ้านหลังหนึ่ง เจ้าของบ้านเลี้ยงไก่ไว้หลายตัว อาอูจาละก็เริ่มแผนการทันที

อาอูจาละ : ท่านเจ้าของบ้าน ท่านว่าไก่ของท่านจะกินขี้มูกของเราหรือไม่

เจ้าของบ้าน : ไม่กินหรอก ไก่ของเราไม่สกปรกแบบนั้น

อาอูจาละ : ถ้าไก่ของท่านกินขี้มูกเรา ไก่ตัวนี้จะเป็นของเรา ตกลงไหม

เจ้าของบ้าน : ตกลง แต่ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก

และไก่ตัวนั้นก็กินขี้มูกอาอูจาละจริงๆ เขาจึงได้ๆไก่กลับมาหนึ่งตัว แล้วเดินทางไปหมู่บ้านต่อไป

เมื่อไปถึงหมู่บ้านมีงานศพที่บ้านหลังหนึ่ง อาอูจาละเข้าไปถามลูกชายผู้ตายว่า

อาอูจาละ : พ่อของเจ้าจะลุกขึ้นมารกินไก่ของข้าไหม

เจ้าของบ้าน : ไม่พ่อฉันตายแล้วจะมากินไก่เจ้าได้ไงล่ะ

ตอนกลางคืน อาอูจาละแอบไปฆ่าไก่แล้วเอาไปวางไว้ในโลงศพ ตอนที่คนอื่นหลับหมดแล้ว พอรุ่งเช้าก็แกล้งร้องโวยวายว่าไก่หาย อย่างนี้ต้องเป็นศพแน่ๆที่กินไก่ของเรา เมื่อไปเปิดโลงศพดูก็มีไก่อยู่ข้างในจริงๆ เขาจึงเรียกร้องให้เจ้าของบ้านรับผิดชอบ เจ้าของบ้านไม่มีอะไรจะให้จึงยกศพให้ เมื่ออาอูจาละได้ศพแล้วก็เดินทางต่อไป ระหว่างทางเขาหยุดพักใกล้ต้นไม้ที่มีผลไม้มากมาย เขาก็เอาศพไปแขวนไว้ข้างบน บังเอิญมีพ่อค้าวัวคนหนึ่งเดินทางผ่านมาพอดีเห็นอาอูจาละกินผลไม้อย่ข้างล่างก็ถามว่า

พ่อค้า : ผลไม้ที่เจ้ากินน่าอร่อยดีนะ เจ้าเก็บมาจากต้นนี้ใช่ไหม

อาอูจาละ : ใช่ ผลไม้พวกนี้อร่อยมาก ข้าให้ลุงข้าโยนลงมาให้

พ่อค้า : ข้าอยากกินผลไม้บ้างจะได้ไหม

อาอูจาละ : ได้ ท่านบอกให้ลุงข้าเก็บให้สิ แต่ต้องเขย่าต้นไม้แรงๆนะ เขาเป็นคนหูหนวก

พอพ่อค้าได้ยินก็ทำตามที่อาอูจาละบอก ศพก็หล่นลงมา อาอูจละได้โอกาสจึงกล่าวหาว่าพ่อค้าทำให้ลุงของเขาตาย จะต้องรับผิดชอบ แต่พ่อค้าไม่มีอะไรจะให้เลยยกวัวให้ฝูงหนึ่ง อาอูจาละจึงพาวัวเดินทางต่อ จนกระทั่งเขาหยุดพักตรงริมทาง มีพ่อค้าช้างเดินทางผ่านมาหยุดพักข้างๆ อาอุจาละก็เริ่มอุบายอีก

อาอูจาละ : ช้างของท่านจะกินวัวของเราหรือเปล่า

พ่อค้าช้าง : ไม่หรอก ช้างเราไม่กินวัวท่านหรอก

ตอนกลางคืนอาอูจาละได้ฆ่าลูกวัวตัวหนึ่งแล้วเอาไส้ไปพันที่งวงช้าง ตื่นเช้ามาเขาก็มาโวยวายกับเจ้าของช้างว่าช้างของพ่อค้ามากินวัวของเขา พ่อค้าจึงยอมยกช้างเป็นค่าเสียหายให้ อาอูจาละจึงพาวัวและช้างทั้งหมดกลับบ้าน

ณ หมู่บ้านของอาอูจาละ ชาวบ้านต่างสงสัยว่า เขาไปทำอะไรมาจึงได้ฝูงวัวฝูงช้างกลับมาเลยพากันมาถามอาอูจาละให้เขาช่วยละสอนวิธีแก่พวกเขาบ้าง อาอูจาละบอกว่าจะซ่อมแซมบ้านก่อนเมื่อบ้านเสร็จแล้วจะบอกทุกคน วันต่อมา เขาเดินทางไปตัดไม้ในป่า บังเอิญเจอเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่ง เขาคิดอุบายหลอกเด็กๆให้มาช่วยขนไม้โดยเอาไก่มาผูกไว้ใกล้หลุมกับต้นไม้แล้วเรียกเด็กๆให้มาดูไก่พร้อมหลอกให้กระตุกเชือก แต่เด็กๆดึงได้แต่ไก่เท่านั้น เขาได้โอกาสบอกให้เด็กๆช่วยขนไม้ให้เขากลับไปที่บ้าน ครั้งที่สองเขาก็ใช้อุบายทำแบบนี้อีก แต่เปลี่ยนจากขนไก่เป็นขนแพะจนสามารถสร้างบ้านได้ เมื่อสร้างบ้านเสร็จเขาก็จะเดินทางไปค้าขายใหม่ ทุกคนทิ่เดินทางไปด้วยต้องห่ออาหารไปกิน อาอูจาละห่อลูกหนูไปแทนข้าวพอเปิดห่อข้าวออกมาเห็นว่าเป็นลูกหนูก็บอกว่าคงเป็นลางไม่ดี เขาจะกลับบ้านไม่ไปค้าขายแล้ว ระหว่างเดินทางกลับเขาห่อปูตัวหนึ่งกับเปลือกไผ่ เขาแกล้งทำไปเยี่ยมบ้านภรรยาที่สามีเดินทางไปค้าขายแล้วแอบเอาห่อปูไปวางไว้ในบ้านแล้วหมาก็เลยเห่า อาอูจาละจึงบอกว่า ” ระวังนะ สามีไม่อยู่บ้านเวลานอนต้องคอยฟังว่ามีเสียงอะไรรึเปล่า ” พวกนางกลัวมากไม่กล้านอนที่บ้านจึงไปขอนอนที่บ้านอาอูจาละ หญิงทั้งหมดจึงกลายเป็นเมียของเขา หลังจากนั้นไม่นานสามีพวกนางกลับมา นางจึงเล่าให้สามีฟัง ทุกคนจึงวางแผนจะฆ่าอาอูจาละ วันหนึ่งอาอูจาละเผลอตัวถูกจับใส่ในก๋วย(ตะกร้า)แล้วเอาไปแขวนไว้บนต้นไม้ที่ข้างล่างมีบ่อน้ำ แต่ขณะเดียวกันมีพ่อค้าชาวจีนเดินทางผ่านมา อาอูจาละคิดอุบายหลอกให้พ่อค้าขึ้นมาหาตนข้างบนแล้วจับพ่อค้าใส่ก๋วยไว้แทน หลังจากนั้นเขาก็งไปตักน้ำรดตัวแล้วกลับเข้าไปในหมู่บ้าน บอกทุกคนว่าเขายังไม่ตายแต่ตกลงไปในบ่อน้ำ ที่นั่นมีสมบัติมากมาย ทุกคนอยากได้สมบัติจึงพากันไปงมแต่อาอูจาละบอกว่าให้เอาโอ่งมัดไว้กับตัวจะได้ขนสมบัติกลับมาเยอะๆ ทุกคนหลงเชื่อทำตาม เวลาผ่านไปเขาก็ไปบอกบรรดาภรรยาของชาวบ้านที่ลงไปเอาสมบัติในน้ำว่า ให้เอาห่อข้าวไปวางไว้ข้างๆบ่อน้ำสามีจะขึ้นมากิน พอพวกนางเอากับข้าวไปวางอาอูจาละก็แอบโยนทิ้ง พวกนางดีใจที่สามีมากอนอาหาร แต่หนึ่งวันต่อมา พอกลับมาดูห่อข้าวไม่มีร่องรอยใครกิน อาอูจาละบอกว่าสามีพวกนางไม่ขึ้นมากินอาหารแสดงว่าพวกเขาตายแล้ว จากนั้นเขาก็แกล้งแอบอยู่หลังต้นไม้เป็นเทวดาบอกพวกนางว่า ให้เป็นภรรยาของเขาและเขาเหมาะที่สุดที่จะเป็นผู้นำหมู่บ้านเพราะเขาเป็นเพียงผู้ชายคนเดียว

การเกิดประตูหมู่บ้าน

เมื่ออ่าข่าได้ผู้หญิงกลางทางตามที่พระเจ้าแนะนำแล้ว ก็พากลับมาที่บ้าน แต่ด้วยความไม่แน่ใจว่าผู้หญิงที่ตนพามาด้วยนั้นเป็นผีหรือคน เพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลย ด้วยความกลัวและไม่แน่ใจของอ่าข่า จึงไม่กล้านอนด้วยกัน อ่าข่าจึงได้แยกห้องนอน โดยให้ผู้หญิงไปนอนอีกฝั่งหนึ่ง ส่วนตนก็มานอนอีกฝั่งหนึ่ง พอมาระยะหลังเริ่มมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น เหมือนมีคนมาตามเขากลับบ้าน ทำให้อ่าข่าอยู่ไม่เป็นสุข และแล้วก็มีแม่ของผู้หญิงคนนั้นซึ่งเป็นผีก็มาตามหาลูกสาวของตนถึงบ้าน โดยพูดว่า “ ลูกสาวของตนถูกผู้ชายคนหนึ่งไม่ทราบนามพาตัวมา ไม่รู้ว่าเขาจะทำมิดีมิร้ายกับลูกสาวของตนหรือเปล่า ” หลังจากอ่าข่าได้ฟังแม่ของหญิงสาวซึ่งเป็นผีคนนั้นพูดก็รู้ทันทีว่า หญิงสาวที่ตนพามานั้นไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นผีแน่แท้แม่ผีของหญิงสาวมาตามหาลูกของเขาในหมู่บ้านหลายต่อหลายครั้ง จนรู้ว่าลูกสาวของตนไม่ได้ไปไหนแต่อยู่ในหมู่บ้านนี้เอง และคนที่พาลูกสาวของเขามาไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นอ่าข่าคนนี้นี่เอง เมื่อรู้เช่นนั้นผีผู้เป็นแม่ก็มาก่อกวนประจำ หวังจะพาลูกสาวของตนกลับบ้าน ทำให้อ่าข่าอยู่ไม่เป็นสุข อ่าข่าจึงคิดหาวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้ผีแม่ของหญิงสาวมาก่อความวุ่นวายในหมู่บ้านอีก จึงได้สร้างประตูไว้บริเวณด้านหน้าและด้านหลังของหมู่บ้าน รวมสองประตู พร้อมทั้งแกะสลัก ตุ๊กตารูปชายหญิงจากไม้ขึ้น แล้วไปวางไว้ตรงข้างๆประตูทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้แม่ผีเข้ามาก่อกวนในหมู่บ้านอีกและให้รู้ว่าเขาไม่ได้พาลูกสาวของตนมาทำมิดีมิร้ายแต่อย่างใด เขาเพียงพาลูกสาวของตนมาเพื่อเอาไว้สืบตระกูลต่างหากตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผีแม่ของหญิงสาวก็ไม่เข้ามาก่อความวุ่นวายในหมู่บ้านอีกเลย อ่าข่าจึงอยู่ในหมู่บ้านอย่างมีความสุข ส่วนหญิงสาวคนนั้นก็กลายเป็นมนุษย์และอยู่ด้วยกันกับอ่าข่าจนมีลูกและสืบมาจนถึงปัจจุบัน
* บ้านของอ่าข่ามีห้องนอนสองฝั่ง เนื่องจากอ่าข่าไม่กล้านอนด้วยกันกับหญิงสาวที่ตนพามา เพราะไม่แน่ใจว่า หญิงสาวที่ตนพามาเป็นคนหรือผี จึงได้ทำการกั้นห้อง
* ประตูหมู่บ้านเกิดขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ผีหรือสิ่งไม่ดีเข้ามาในหมู่บ้าน
* ตุ๊กตาชายหญิงที่วางอยู่ข้างๆประตูหมู่บ้านของอ่าข่าคือ สัญลักษณ์ที่ทำให้แม่ผีของหญิงสาวรู้ว่า อ่าข่าไม่ได้พาลูกสาวของเขามาทำมิดีมิร้าย แต่พามาเพื่อสืบตระกูล

การเลือกคู่ครองของอ่าข่า

หลังจากที่ต่างคนต่างอยู่ แต่ไม่มีคู่สำหรับสืบพันธุ์มีความเงียบเหงาไม่สนุก ทุกเผ่าพันธุ์จึงได้ไปขอคู่กับพระเจ้า ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกเชื้อชาติต่างทยอยไปหาพระเจ้าเพื่อเลือกคู่ เว้นต่างอ่าข่าที่ยังไม่ได้มา เพราะมัวต่างทำไร่อยู่ พออ่าข่าไปถึงก็ไม่มีคู่ให้เลือกแล้วพระเจ้าบอกว่า ทำไมไม่มาตั้งแต่เมื่อวาน นึกว่าแบ่งให้หมดแล้ว อ่าข่าก็บอกกับพระเจ้าว่าเมื่อวานมาไม่ได้เพราะทำไร่ยังไม่เสร็จ พระเจ้าจึงบอกว่า จะบอกว่าไม่ทันได้ไง ถ้าบอกไม่ทันก็ไม่ทันทั้งชีวิตแหละ พระเจ้าบอกต่อว่า ถึงแม้ไม่ได้วันนี้ก็ไม่ต้องเสียใจไม่ได้วันนี้วันหน้าก็ได้แหละ อ่าข่าจึงได้เดินทางกลับบ้านโดยไม่ได้คู่ แต่เมื่อเขากลับถึงบ้านเขาก็ยังไม่เป็นสุขอยู่ดี นอนไม่หลับ ไปไหนมาไหนก็ไม่มีเพื่อนคุย รู้สึกเหงาที่ไม่มีคู่เหมือนชาติอื่น จึงไปหาพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง อ่าข่าพูดว่า “ เอาไงก็เอากัน วันนี้ถ้าพระเจ้าไม่ให้คู่เขาก็จะไม่กลับบ้านเด็ดขาด ” สุดท้ายพระเจ้าก็แนะนำให้ว่า เจ้ามาช้า ข้าแบ่งเนื้อคู่ให้คนอื่นหมดแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรให้เจ้าปฏิบัติตามนี้ละกัน แล้วพระเจ้าก็เริ่มอธิบายโดยแนะนำอ่าข่าว่า ระหว่างเดินทางกลับบ้านนะ ให้ร้องเพลงไปด้วย แล้วถ้าเจอใครในป่าหรือระหว่างทางให้รีบดึงคนนั้นไว้นะ คนนั้นแหละคือเมียของเจ้า แล้วอ่าข่าก็ออกเดินทาง และปฏิบัติทุกอย่างตามที่พระเจ้าบอก และแล้วก็ได้เจอผู้หญิงคนหนึ่งในป่า ก็ควงผู้หญิงคนนั้นมายังบ้าน อ่าข่าจึงได้คู่ครองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

นิทานอ่าข่า

การเกิดอ่าข่าและชาติพันธ์ต่างๆ

หลังจากที่น้ำท่วมโลก สิ่งมีชีวิตต่างๆบนโลกก็ได้ตายหมดเว้นแต่คนๆหนึ่งที่มีชื่อว่า “ ถ่องผ่อง ” รอดมาได้อย่างหวุดหวิด โดยเวลาที่น้ำท่วมโลก ถ่องผ่องได้เข้าไปอยู่ใน กลอง (ถ่องๆโฉว่) ที่มีการปิดอย่างมิดชิด แล้วเขาก็ลอยไปไหนมาไหนตามกระแสน้ำ จนน้ำแห้งถ่องผ่องออกมาดูข้างนอกก็ทราบว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายได้ตายหมดแล้ว คงเหลือแต่เพียงเขาคนเดียวที่รอดตายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ หลังจากที่ถ่องผ่องมีชีวิตอยู่บนโลกคนเดียวไม่นาน เขาก็ได้ตั้งท้องอย่างผิดสังเกต และผิดธรรมชาติ คือ เขาตั้งท้องทุกส่วนของร่างกาย ทั้งเส้นผม นิ้วมือ นิ้วเท้า และระยะเวลาการอุ้มท้องของเขานานถึง 12 เดือน หรือ 1 ปี (ทั้งที่ปัจจุบันคนเราอุ้มท้องนานแค่ 9 เดือนเอง) พอถึงกำหนดคลอด ก็ได้คลอดลูกออกมา ทันทีที่คลอดออกมาลูกแต่ละคน ก็สามารถพูดได้เลย ต่างคนต่างพูดว่า ผมเป็นคนจีน ผมเป็นอังกฤษ ผมลาหู่ ลีซู ม้ง อ่าข่า ฯลฯ เผ่าพันธ์และเชื้อชาติต่างๆจึงได้แตกออกไปตั้งแต่นั้นมาและอยู่ร่วมกัน จนเวลานานเข้านานเข้าต่างคนต่างก็แยกย้ายออกไป อยู่คนละทิศคนละทาง

8/10/51

What is a reading model?

Introduction
In the last 40 years reading researchers have been studying the link between the reading process (what goes on in the brain) and how to teach reading. Depending on their interpretation of the reading process, they have developed a model of reading.

Definition
A reading model is a graphic attempt “to depict how an individual perceives a word, processes a clause, and comprehends a text.” (Singer and Ruddell 1985)

Kinds Here are some kinds of reading models.
Although there are many models of reading, reading researchers tend to classify them into three kinds.

Top-down
Emphasizes what the reader brings to the text, such as prior knowledge and experiences
Says comprehension begins in the mind of the reader, who already has some ideas about the meaning of the text
Proceeds from whole to part

Example: Reader's prior knowledge to semantic cues to syntactic cues to other more specific information


Bottom-up
Emphasizes the written or printed text
Says comprehension begins by processing the smallest linguistic unit (phoneme), and working toward larger units (syllables, words, phrases, sentences)
Proceeds from part to whole

Example: Phoneme to syllable to word to sentence


Interactive
Recognizes the interaction of bottom-up and top-down processes simultaneously throughout the reading process.

7/10/51

How to Write Essay

1) โครงสร้าง Essay ที่สามารถนำไปใช้กับ Topic ส่วนใหญ่ได้คือ
Introduction
| Point 1
Body < Point 2
| Point 3
Conclusion

2) หลักการเขียน Essay โดยรวม
2.1) จำกัดขอบเขตของหัวข้อ Essay ให้แคบลง
2.2) บอกความคิดของคุณให้ชัดเจน เช่นเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับหัวข้อ
2.3) หาตัวอย่าง หรือเหตุผลเพื่อมาสนับสนุนความคิดของคุณสามข้อ
2.4) เขียนบทสรุปที่น่าสนใจ และประทับใจผู้อ่าน

3) หลักการเขียน Essay ที่ดี
3.1) วิเคราะห์หัวข้อให้ละเอียด
3.2) จำกัดขอบเขตของหัวข้อให้แคบลง อยู่ในวงที่สามารถกำหนดกรอบได้แน่นอน
3.3) บอกความคิดของคุณออกมาให้ชัดเจนว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับหัวข้อ
3.4) หาเหตุผลสนับสนุนความคิดของคุณ แล้วนำมาเรียงตามลำดับที่เหมาะสม
3.5) ขึ้นต้น Essay ด้วยประโยคที่จับใจ คงข้อมูลรายละเอียดของหัวข้อไว้ครบถ้วน
3.6) ให้รายละเอียดสนับสนุนเหตุผลด้วยตัวอย่าง หรือรายละเอียดที่ชัดเจน
3.7) นำทางผู้อ่านจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งด้วยคำเชื่อมประโยคที่เหมาะสม
3.8) ใช้คำพูดที่ชัดเจน รัดกุม มีชีวิตชีวา
3.9) ลดการใช้คำพูดที่ซ้ำซ้อน ไม่จำเป็น อย่าให้น้ำท่วมทุ่ง
3.10) ใช้รูปแบบประโยคที่หลากหลาย
3.11) เขียน Essay ทั้งหมดด้วยภาษาอังกฤษมาตรฐาน
3.12) และทิ้งท้าย Essay ด้วยประโยคที่ประทับใจ

5/10/51

น้ำพริกนรก



พริกแห้ง 10 เม็ด
พริกขี้หนูแห้ง 20กรัม
ปลากรอบ 1 ถ้วย
หอมแดง 10 หัว
กระเทียม 5 หัว
มะขามเปียกสับละเอียด 1/2 ถ้วย
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
คั่วพริกแห้ง และพริกขึ้หนูแห้ง ห่อมะขามเปียกเผาไฟพอสุก
คั่วปลากรอบ เผาหอม กระเทียม แกะเปลือกออก
โขลก พริกคั่ว มะขาม ปลากรอบ หอม กระเทียม และเกลือจนละเอียดเข้ากันดี
ใส่กระปุกเก็บไว้รับประทาน

น้ำพริกอ่อง


พริกแห้งเม็ดใหญ่ ผ่าเม็ดออก
หอมแดง มะเขือเทศ รากผักชี ผักชี
กระเทียม กระเทียมเจียว เกลือป่น กะปิ
เนื้อหมูสับละเอียด น้ำมันพืช

วิธีทำ
1.เผาพริกแห้งให้พอหอม โขลกรวมกับหอมแดง กระเทียมเกลือป่น กะปิ ให้ละเอียด
2.ฝานมะเขือเทศให้เป็นชิ้นรวมกับเนื้อหมูสับ แล้วนำไปโขลกกับเครื่องปรุงที่เตรียมไว้ ในข้อ 1
3.ผัดเครื่องที่ผสมกันกับกระเทียมเจียว เติมน้ำเล็กน้อย
4.ตักใส่ภาชนะและแต่งหน้าด้วยผักชี ปรุงด้วยน้ำปลา

3/10/51

TOEFL Vocabulary

supreme adj. สูงสุด, สำคัญที่สุด
surcease n. การหยุด/สิ้นสุด
v. ยุติ,ยุติ,สิ้นสุด
surf n. คลื่น,ฟองคลื่น
surfeit n. ส่วนเกิน,การกิน/ดื่มมากเกินไป,ความรู้สึกไม่สบาย
เมื่อกิน/ดื่มมากเกินไป

v. ทำเกินไป,กิน/ดื่มมากเกินไป
surge n. คลื่นยักษ์,คลื่นรบกวน,ความรู้สึกที่เกิดขึ้นฉับพลัน,
การถาโถม, การเพิ่มขึ้น (ของราคา) กิจกรรมอย่างรวดเร็ว
v. เป็นระลอก,กระเพื่อมขึ้นลง,รวน,ซัดไปมา,(กระแสไฟ)เพิ่มขึ้นอย่างทันทีทันใด
surly adj. บูดบึ้ง,บึ้งตึง,ที่ไม่เป็นมิตร,ที่ไร้มารยาท
surmise n. การคาดการณ์,การคาดคะเน
v. คาดการณ์,เดา,ทาย
surmount v. อยู่ข้างบน,ปกคลุม,เอาชนะ,พิชิต,ขึ้นขี่ม้า,ยอด
เยี่ยมเหนือกว่า
surreptitious adj. ที่ลับๆล่อๆ,ที่ลอบทำ,ที่มีเลศนัย
surveillance n. การควบคุม,การตรวจตรา,การดูแล
susceptible adj. ที่รู้สึกไว,มีจิตใจที่อ่อนแอ,ที่สะเทือนง่าย,ที่ไวต่อ...
sustenance n. อาหาร,เครื่องยังชีพ,วิธีการบำรุงเลี้ยง,ขบวนการ
สนับสนุน,สภาวะที่ได้รับการบำรุงเลี้ยง/สนับสนุน,การดำรงชีพ
swaggering n. การเดินวางท่า,การวางโต,การคุยโอ้อวด
swamps n. หนองน้ำ,บึง,ปลัก,ตม
v. ทำให้ท่วม,จุ่ม,จม,จม/ติดอยู่ในหนองน้ำ,จม/ตกอยู่
(ในภารกิจ/ความกังวล)
swathe n. การห่อ,การพัน,การโอบ
v. ห่อ,พัน,โอบ
swayed n. การแกว่ง,การปกครอง,การครอบงำ,อำนาจ
ปกครอง
v. แกว่ง,ไกว,โบก,หวั่นไหว,ใช้อำนาจ,ปกครอง
swelter n. ความร้อนอบอ้าว,ความร้อนระอุ,เหงื่อโชก,อารมณ์
เครียด
v. ร้อนอบอ้าว,ร้อนระอุ,ไหลออก,ซึมออก
swerve n. การหักเลี้ยว,การเปลี่ยนทิศอย่างฉับพลัน
v. หักเลี้ยว,เปลี่ยนทิศอย่างฉับพลัน
swindle n. การโกง,การลอกลวง,การฉ้อฉล
v. โกง,ฉ้อฉล,หลอกต้ม,หลอกลวง
swipes n. เบียร์คุณภาพเลว,เบียร์
swirl n. การหมุน,สิ่งที่คดงอ,เส้นคดงอ,ความสับสนวุ่นวาย
v. หมุนรอบ,วนเวียน
swoon n. การสลบ,การเป็นลม,การหมดสติ
v. สลบ,เป็นลม,หมดสติ
swoop n. การโฉบลง,การถลาลง,การโจมตีอย่างฉับพลัน
v. โฉบลง,ถลาลง,โจมตีอย่างฉับพลัน
sycophants n. ผู้ประจบสอพลอ,คนที่เกาะคนอื่นกิน
syllabus n. เนื้อหาของหลักสูตร,โครงร่างของเนื้อหาของเรื่อง/
ของวิชา,หนังสือที่มีเรื่องย่อของคดีสำคัญๆสำหรับนักศึกษากฎหมาย
symmetry n. การมีสัดส่วนที่รับกัน,มีความสมมาตร
symposium n. การประชุมสัมมนา,การประชุมอภิปรายหัวข้อเฉพาะ
เรื่อง,รายงาน/บทความที่นำเสนอในการประชุมสัมมนา,การอภิปรายหัวข้อวิชาการอย่างฉันมิตร,งานเลี้ยงกินร่วมกันหลังอาหารเย็น
symptom n. อาการ,ลักษณะอาการ,เครื่องแสดง,อาการของโรค
synchronous adj. ในสมัยเดียวกัน,ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน,ที่เกิดขึ้นใน
อัตราความเร็วเดียวกัน
synonymous with adj. ที่มีลักษณะเป็นคำที่มีความหมายเหมือน/ใกล้เคียงกัน,ในภาคเดียวกัน/ในต่างภาษากัน
synopsis n. สรุปความ,สาระสำคัญ,ข้อใหญ่,ใจความ
synthetic Adj. เกี่ยวกับการสังเคราะห์, ที่เป็นของเทียม, ที่อ้างเหตุ
ผลสรุปโดยตรงจากสมมติฐานและกฎเกณฑ์ที่มีอยู่
n. สารสังเคราะห์, สิ่งที่เกิดจากการสังเคราะห์
syrup n. น้ำเชื่อม, น้ำผลไม้ผสมน้ำและต้มกับน้ำตาล
tab n. ส่วนที่โผล่ออกเป็นปีก, ชาย, แถบ, ส่วนปกหูของ
หมวก, สายประดับ, บิล, เช็ค, ป้าแผ่นโลหะเล็กๆ, เครื่องหมายติดคอเสื้อนายทหาร
v. ทำให้มีสายประดับ/แถบ/ชาย
taboos adj. ที่ต้องห้าม, ที่เป็นข้อห้าม
n. ข้อห้าม,สิ่งที่ห้ามกระทำ,ศีลห้าม
v. ห้าม
tabulated adj. ที่เป็นแผ่น, ที่เป็นตาราง, ที่เป็นชิ้นบางๆ, ที่มีพื้นผิว
แบน
v. ใส่ลงในตาราง(ตัวเลขฯ),ทำให้หน้าเรียบแบน
tacit adj. ที่เงียบ, ที่ไม่มีพูดอะไร, ที่รู้แก่ใจ, โดยปริยาย,
อย่างมีนัย
taciturn adj. ที่เงียบขรึม, ที่พูดน้อย, ที่เจียมตัว, ที่ไม่ชอบพูด
มาก

tackle n. กว้าน, เครื่องขันกว้าน, รอกตะขอยกของหนัก, การ
เข้าขวางในกีฬารักบี้
v. รับมือ,เล่นงาน,จับคนที่พาลูกวิ่งในกีฬารักบี้,ปลุก
ปล้ำเพื่อเอาชนะ
tact n. ประสาทสัมผัส, การมีไหวพริบ, ปฏิญาณดี
tactile adj. เกี่ยวกับการสัมผัส/ประสาทสัมผัส, ที่แตะได้, ที่
รู้สึกได้จากการสัมผัส
scandal n. เรื้องอื้อฉาว, เรื่องที่ทำให้ผู้อื่นอาย/อัปยศอดสู,
การนินทาใส่ร้ายป้ายสี
talisman n. เครื่องราว, ผ้ายันต์
tamper with v. ยุ่ง, แทรกแซง, สอดแทรก
tang n. รสเข้มข้น, รสจัด, กลิ่นแรง, เสียงดังลั่น, เสียง
โลหะกระทบกัน, แกนมีดที่เสียบลงในด้าม
v. ทำเสียงดังสนั่น, ทำเสียงโลหะกระทบกัน, ทำให้รส
เข้มข้น,ทำให้มีกลิ่นแรง
tangible adj. ที่สัมผัสได้, ที่มีตัวตน, ที่มีรูปร่างที่แน่นอน
n. สิ่งที่เป็นของจริง, สิ่งที่สัมผัสได้, สิ่งที่มีตัวตน
tantalize v. ทำให้น้ำลายหก, ยั่วเย้า, ทรมานจิตใจ
tantamount adj. เท่ากับ,พอๆกัน,ที่มีความสำคัญเท่าๆกัน
tantrums n. การมีอารมณ์เกี่ยวกราด, การโมโหโทโส
tapers n. ไส้เทียน/ตะเกียงซึ่งชุบเทียม, เทียนไขที่เรียว,
แสงริบหรี่,ลักษณะที่ค่อยๆเรียวลง
v. ค่อยๆเรียวเล็กลง,ค่อยๆลดน้อยลง, ทำให้ค่อยๆ
เรียวเล็กลง
tapestry n. พรม/ผ้าถักทอเนื้อหนา, ม่านมีดอกไม้ในเนื้อ
v. ประดับด้วยพรม/ผ้าถักทอเนื้อหนา
tardy adj. ชักช้า, สาย,เฉื่อยชา
tariff n. อัตราภาษีศุลกากร,ตารางอัตราภาษีศุลกากร,
ค่าธรรมเนียม
v. จัดเก็บภาษีศุลกากร, กำหนดอัตราภาษีศุลกากร
tarnish n. ลักษณะขุ่นมัว,การแปดเปื้อน,จุดด่างพร้อย,มลทิน
v. ทำให้มัวหมอง, ทำให้สีหมอง, ทำให้แปดเปื้อน
tarry adj. เกี่ยวกับน้ำมันดิน/ยางมะตอย
n. การพักอยู่ชั่วคราว
v. พัก, ค้าง, ชักช้า, รอ
tart adj. เปรี้ยว, เผ็ดร้อน, บาดใจ, (ปาก)จัด
n. ขนมอบชิ้นเล็กๆไส้ผลไม้, (สแลง) หญิงโสเภณี
tatters n. ผ้าขาดวิ่น, เศษผ้า
v. ฉีกขาด,ดึงให้ขาด
taunt adj. สูงมาก
n. การหัวเราะเยาะ,การสบประมาท,คำพูดที่เหยียดหยามคนอื่น, การเหน็บแนม
v. หัวเราะเยาะ, สบประมาท, เยาะเย้ย, การเหน็บแนม
taut adj. ตึง, ตึงเครียด, สะอาดหมดจด, เคร่งครัด
tavern n. ร้านสุรา, บาร์, โรงแรมเล็กๆ
tawdry adj. พื้นๆ/ธรรมดา, เรียบๆ, ฉูดฉาดแต่ไม่มีราคา
teems v. เต็มไปด้วย, อุดมสมบูรณ์ไปด้วย, (ฝน) เทลงมา,
เทออกหมด
teeter v. แกว่งไปมา, โงนเงน, เล่นไม้กระดานหก
temerity n. ความหุนหันพลันแล่น, ความบุ่มบ่าม/บ้าบิ่น
temperamental adj. เจ้าอารมณ์, ที่มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย
temperance n. การควบคุมอารมณ์, การบังคับตัวเอง, ความพอควร
tempestuous adj. ที่มีพายุแรง, ที่คล้ายพายุแรง, ปั่นป่วน, วุ่นวาย,
โผงผาง
tempo n. จังหวะ, ทำนอง, อัตราความเร็ว, กระแสชีวิต
temporal adj. เกี่ยวกับเวลา, เกี่ยวกับชีวิตปัจจุบัน/โลกปัจจุบัน,
ชั่วคราว, ทางโลกียวิสัย, เกี่ยวกับขมับ
n. ขมับ, กระดูกขมับ, บริเวณขมับ
tenable adj. ที่ยึดถือได้, ที่ป้องกันได้, ที่ปกครองกันได้

tenacious adj. เหนียวเหนอะ, ที่ยืนหยัด, ดื้อดึง, ถือทิฐิ, ที่ยากที่
จะแยกจากกัน
tenant n. ผู้เช่า, ผู้อยู่อาศัย, ผู้ครอบครอง
v. เช่าที่, อาศัยอยู่, พำนัก
tenet n. ข้อคิดเห็น, ทฤษฎี, หลักการ, ข้อบัญญัติ, ความ
เชื่อ
tenor n. แนวทาง, วิถีชีวิต, ความหมายทั่วๆไป, เสียงร้อง
เพลงระดับสูงของนักร้องชัย
tentative adj. ที่ทดลองดูก่อน, ชั่วคราว, ที่ยังไม่แน่นอน
n. การลองดูก่อน, การทดลอง
tenuous adj. ผอมบาง, แผ่วบาง, ไม่สลักสำคัญ
tenure n. การครอบครอง (เช่น ทรัพย์สิน ที่ดิน), ระยะเวลา
การครอบครอง, ฐานะมั่นคงของตำแหน่งหน้าที่
tepid adj. ที่อุ่นพอควร, จืดชื่น, ที่ขาดความกระตือรือร้น
termagant adj. ปั่นป่วน, ซึ่งมีอารมณ์ร้าย, ที่รุนแรง
n. หญิงดุร้าย, หญิงที่อารมณ์ร้าย/รุนแรง
terminate v. ทำให้สิ้นสุด, ทำให้ยุติ, สิ้นสุด
terrain n. ผืนดิน, ภูมิประเทศ
terrestrial adj. เกี่ยวกับโลก/พื้นดิน/บนบก, ซึ่งงอกบนพื้นดิน
n. ผู้ที่อาศัยอยู่บนโลก
terse adj. กะทัดรัด, ซึ่งได้ใจความดี
testimony n. คำให้การ, การเบิกความ, การแถลงโดยเปิดเผย,
หลักฐาน
tethered n. เชือกที่ใช้ล่ามสัตว์/ผูกสัตว์
v. ผูก/ล่ามสัตว์
texture n. เนื้อผ้า, พื้นผิว, ลักษณะของสิ่งของ, เนื้อหนัง,
ความหยาบ/ละเอียด
thaw n. การทะลาย, อากาศที่อบอุ่นพอดีที่จะทำให้หิมะ
ละลายได้
v. ละลาย, ทำให้ละลาย
therapy n. การบำบัดรักษาโรค
thermal adj. ที่เดียวกับ/เกิดจากความร้อน
n. กระแสอากาศที่ลอยสูงเนื่องจากความร้อน
threadbare adj. ที่เก่าจนเห็นเส้นด้ายโผล่, ซึ่งสวมจนเก่า, ที่เก่าคร่ำ
ครึ, ที่อยู่แต่ในกรอบ, ที่ไม่มีรสชาติ
thrifty adj. ประหยัด, ที่เจริญงอกงามดี, แข็งแรง, ที่เฟื้องฟู
thrive v. เฟื้องฟู, เจริญงอกงาม, ประสบความสำเร็จ,
เจริญรุ่งเรือง
throb n. การเต้น, การสั่นระริก, การเต้นตุบๆ
v. เต้น,สั่นระริก, เต้นตุบๆ
throe n. การปวดเป็นพักๆ (ในขณะคลอดบุตร), ความ
เจ็บปวดก่อนสิ้นใจ, การดิ้นรนเฮือกสุดท้าย, อารมณ์รุนแรง
v. ได้รับความทุกข์ยาก,ทำให้ได้รับความทุกข์ยาก,
รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว
throng n. กลุ่มคน, ฝูงชน, การชุมนุม, เรื่องขับขัน
v. เบียดเสียด, ยัดเหยียด, ออกันแน่น, เต็มไปด้วย,
ชุมนุม, รวมตัวกัน
throttle n. ลิ้นของเครื่องที่ปรับการไหล, ลิ้นที่ช่องอากาศ, คอ
หอย, ลิ้นเร่งน้ำมันในเครื่องยนต์
v. บีบคอ, เค้นคอ, อุด, จุก, ทำให้หายใจไม่ออก, ปรับการไหล, บังคับกระแส
thump n. การตีอย่างแรง, เสียงตีอย่างแรง, ทุบเต็มแรงด้วย
กำปั้น
v. ทุบอย่างแรง, ตีอย่างแรง,ตีดังโครม
thwart adj. ที่วางขวางอยู่, ที่ขวางลำ, ที่เป็นอุปสรรคขัดขวาง
adv. ข้ามผ่าน, ทอดข้าม
n. ที่นั่งตามขวางลำเรือโดยเฉพาะเรืองการเชียง
v. คัดค้าน, ขัดขวาง, ทำให้ล้มเลว, ทำให้พ่ายแพ้
tickle n. การทำให้รู้สึกคัน/จั๊กจี้, สิ่ง/เหตุการณ์ที่ทำให้
เกิดความดีใจ
v. ทำให้รู้สึกคัน/จั๊กจี้, ทำให้ดีใจ, ทำให้สนุกสนาน,
รู้สึกคัน/จั๊กจี้/สนุก
tidbit n. สิ่งที่ดึงดูดความสนใจแต่ว่ามีน้อย เช่น ข่าวดี,
อาหารอร่อย
tidings n. ข่าว, ข่าวคราว, ข้อมูล
tier n. ผู้ผูก/มัด/รัด, สิ่งที่ผูก/มัด/รัด, แถวที่นั่ง, แนว, ชั้น
v. เรียงเป็นชั้นๆ/แถวๆ, ขึ้นเป็นชั้น/แถว
tilt n. การขี่ม้า, การต่อสู้กันบนหลังม้าโดยใช้หอกอาวุธ,
ความขัดแย้ง, การเอียง, ตะแคง, เนินลาด
v. ทำให้เอียง, ทำให้กระดกตะแคง, เอียง,ขี่ม้ารำหอก
, โจมตีด้วยคำพูด
timidity n. ความขี้ขลาด, ความขวยเขิน, ความสะเทิ้นอาย
tincture n. สี, สีสัน, สีที่ใช้ในการย้อมกลิ่น, ลักษณะเฉพาะ,
ยาทิงเจอร์,สารละลายแอลกอฮอล์, รอย
v. ทาสี, ย้อมสี, เจือ
tinkle n. เสียงดังติ้งๆ/กริ้งๆ, สัญญาณเรียกดังกริ้งๆ
v. ดังกริ้งๆ, บอกเวลาดังกริ้งๆ, (ภาษาของเด็ก)
ปัสสาวะ
tipsy adj. ที่ค้อนข้างเมา, ที่โซเซ, เอียง, ที่ไม่มั่นคง
tirade n. การปราศรัยที่เผ็ดร้อนยาวนาน, คำตำหนิที่โผงผาง
เผ็ดร้อน
titanic adj. ประกอบด้วย titanium โดยเฉพาะที่เลนซี่เป็น 4)
ใหญ่โตมาก, ที่มีกำลัง/อำนาจอิทธิพลมาก
tithe n. จำนวน 1 ใน 10, จำนวนเล็กน้อย, ภาษีเบ็ดเตล็ด,
ภาษี 1 ใน 10 ของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร, ที่ชำระในองค์กรทางศาสนา
v. ภาษี 1 ใน 10, นำผลิตผลทางการเกษตร 1 ใน 10
ไปชำระภาษี
titillate v. ทำให้รู้สึกจั๊กจี้, ทำให้รู้สึกคัน, ทำให้สบาย
token adj. ที่เป็นสัญลักษณ์ซึ่งสำหรับแสดงเจตนา, ที่เป็น
เครื่องรำลึกถึง, เล็กน้อย, ที่ไม่สำคัญ
v. การแสดงออก, สัญลักษณ์, เครื่องหมายของภาษา,
ลักษณะเฉพาะ, สิ่งที่รำลึก, สิ่งที่ถือเป็นหลักฐาน, เงินตรา
toll n. ภาษาบำรุง, ค่าธรรมเนียมในการบริการ, ข้าวส่วน
หนึ่งที่ฝ่ายโรงสีเก็บเป็นค่าธรรมเนียม, สิทธิในการจัดเก็บภาษีค่าผ่านทาง, จำนวนผู้บาดเจ็บเล็กน้อย
v. จัดเก็บค่าบำรุง, จัดเก็บค่าธรรมเนียมในการบริการ,
ชักขึ้นมาส่วนหนึ่งเพื่อเป็นค่าธรรมเนียม, เคาะ/ตีระฆังบอกเวลา
tonic adj. ที่เสริมกำลัง/บำรุงกำลัง, ที่ทำให้จิตใจ
กระปรี้กระเปร่า,(ดนตรี)เป็นเสียงสำคัญ,(แพทย์) แข็ง,ตึงตัว,ที่เกี่ยวกับเสียงดนตรี, เสียงต่ำเสียงสูงในภาษา
n. สิ่งที่ทำให้กระปรี้กระเปร่า,ยาบำรุง,(ดนตรี) เสียง หลัก, เสียงสำคัญ,พยางค์ที่ลงเสียงหนักtopography n. (ธรณี) ภูมิประเทศ, วิชาการวาดแผนที่, การสำรวจ
ภูมิประเทศ(แพทย์) กายวิภาคศาสตร์เฉพาะส่วน
topple v. ทำให้พัง,โค่นล้ม, คว่ำ, ซวดเซจะล้ม
torment n. ความเจ็บปวด, ความทุกข์, สิ่งที่ทำให้ทรมาน,
เครื่องทรมาน
v. ทรมาน, ทำให้เจ็บปวด, ทำให้กลัดกลุ้ม, รบกวน,
ทำให้กระเพื่อม
torpid adj. ที่อ่อนแรง/เฉื่อยชา, ที่กบดาน,หมอบอยู่กับที่,
อืดอาด
torrent n. กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว, การไหลเชี่ยวกราด,
การทะลักพรั่งพรูออกมา, ห่าฝน
torrid adj. ร้อนจัด, ร้อนราวกับถูกเผา, ที่ตื่นตัว, ที่เร่าร้อน
torso n. ร่าง, ร่างกายมนุษย์
tortuous adj. เต็มไปด้วยข้อต่อ/ข้อพับ, ที่ไม่ตรงไปตรงมา,
คดเคี้ยวอย่างลวงล่อ, ที่สลับซับซ้อน
torturous adj. ที่ทำให้เจ็บปวดทรมาน, ที่ใช้การทรามาน, ที่ทำให้
บิดเบือน
toss n. การขว้าง, การโยน, การปา, การแกว่ง, การโยน
เหรียญ, ความกังวล
v. โยน, ขว้าง, ปา, เหวี่ยง, ก่อกวน, รบกวน
totalitarian adj. ที่เกี่ยวกับเผด็จการเบ็ดเสร็จ, ที่ปกครองแบบเผด็จ
การ, ที่มีการปกครองโดยพรรคการเมืองเดียว
n. ที่นิยมระบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ
totter v. เดินโซเซ, เดินเตาะแตะ, ง่อนแง่น
touchy adj. ที่โกรธง่าย, ที่มีความรู้สึกไว, ที่ลุกไหม้ง่าย
tournament n. การแข่งขัน, การประลองฝีมือบนหลังม้าในสมัย
กลาง

towed adj. ที่ทำด้วยเศษป่าน/เชือก
n. เศษป่าน, กลุ่มใยสังเคราะห์การลาก, การดึง, การโยง, สิ่งที่ถูกลาก/โซที่ใช้ลาก
v. ดึง/ลาก/จูง, เอามาไว้ในความดูแลรับผิดชอบ
toxic adj. เกี่ยวกับพิษ, เนื่องจากพิษ, ที่มีพิษ
track n. ร่องรอย, ระยะความกว้างระหว่างสองล้อ, ร่องรอย
ที่เดินผ่านไป, ทางเล็ก, รางรถ, เส้นทาง, แนวทาง, ตามรอย
v. ติดตาม, ไล่ตาม, สืบหา, ตามรอย
tract n. ที่ดินผืนหนึ่ง,บริเวณ, ช่วง, เนื้อที่, บทความสั้นๆ,
หนังสือเล่มเล็ก,ใบปลิวที่โฆษณาทางด้านการเมือง
tractable adj. ที่ควบคุมง่าย, ว่าง่าย, เชื่อง, ที่แปรรูปง่าย,
ที่จัดการได้ง่าย
traduce v. ใส่ร้ายป้ายสี, ทำให้เสียชื่อเสียง
trait n. อุปนิสัย, ลักษณะเฉพาะ, การแตะ, การสัมผัส
tramp n. การเดินด้วยฝีเท้าที่หนัก, โสเภณี, คนพเนจร,คนจร
จัด,เรือสินค้าที่ไม่ได้กำหนดเวลาเดินทางที่แน่นอน
v. เดินเที่ยว, ร่อนเร่, พเนจร
trample n. การเหยียบ/ย่ำ/กระทืบ
v. เหยียบ, ย่ำ, เดินด้วยฝีเท้าที่หนัก
trance n. สภาพที่ตกอยู่ในภวังค์, ความมึนงง, อาการที่ไม่
รู้สึกตัว
v. ทำให้ตกอยู่ในภวังค์, ทำให้งงงวย, ทำให้
เคลิบเคลิ้ม
tranquility n. ความสงบ, ความเงียบ, ความสงบสุข
transaction n. การจัดการ, การดำเนินการ, ธุรกิจ, การซื้อขาย,
รายงานการประชุม
transcend v. อยู่เหนือ, ดีกว่า,เหนือกว่า, อยู่เหนือธรรมชาติ
transgression n. การฝ่าฝืน, การละเมิด, การบุกรุก
transient adj. ชั่วคราว, ไม่ถาวร, ไม่ยั่งยืน
n. ผู้ยอมประนีประนอม
n. บุคคล/สิ่งที่อยู่ชั่วคราว, แขกเดินทางมาพักชั่วครา, ปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
transit v. ผ่าน, โคจรผ่านๆ, ส่งผ่าน
transitory adj. ที่ชั่วคราว, ที่ไม่คงทน, ที่เป็นช่วงสั้นๆ
transmute v. เปลี่ยนรูป, เปลี่ยนคุณสมบัติ, เปลี่ยนธาตุ
transparent adj. ที่โปร่งแสง/ใส, ที่เปิดเผย,ที่ตรงไปตรงมา,
ที่ชัดเจน
transpire v. เกิดขึ้น, ระเหย, กลายเป็นไอ, รั่วไหล
transport n. การขนส่ง, การลำเลียง,การบรรทุก, เครื่องบิน/
เรือขนส่ง, นักโทษที่ ถูกเนรเทศ
v. ขนส่ง, บรรทุก, ลำเลียง, เนรเทศ(นักโทษ)
trash n. สิ่งที่ไร้ค่า, ขยะ, ของเสีย, คนที่ไร้ค่า, งานเขียน/
ศิลปะที่ไร้ค่า
v. เล็ม,เด็ดใบทิ้ง, ตัดกิ่ง,ทิ้งขยะ/ของเสียที่ไม่ใช้แล้ว
trauma n. บาดแผล, ความเจ็บปวด/ชอกช้ำ

2 ทางเดินแห่งชีวิต ที่มนุษย์ทุกคนต้องเลือก

2 ทางเดินแห่งชีวิตที่มนุษย์ทุกคนต้องเลือก ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกทางไหน

1.ทำงานอย่างที่ทำทุกวันนี้ ไม่ลำบากเกินกว่าที่จะทน แต่ก็อยู่ในสภาพแบบนี้ไปตลอดชีวิต หรือ

2.ทำงานอย่างหนัก ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง อดทน เหนื่อยสัก 3 ปี แล้วผลงานที่ได้สร้างไว้ทำให้คุณสบายไปตลอดชี

หลังจากเลือกคำตอบในใจคุณแล้ว มาดูคำเฉลยในความคิดเห็นกันนะคะ

26/9/51

เทศกาลกินเจ

ตำนาน
ตำนานที่ 1
ชาวจีนกินเจเป็นการบำเพ็ญกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชน 9 คน ซึ่งเรียกว่า “หงี่หั่วท้วง” ซึ่งได้ต่อสู้กับชาวแมนจูอย่างกล้าหาญถึงแม้จะแพ้ก็ตาม ชาวบ้านได้พากันถือศีลกินเจนุ่งขาวห่มขาวเพราะเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยชำระจิตวิญญาณเกิดความเข้มแข็งทางร่างกายและจิตใจ

ตำนานที่ 2เพื่อเป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า “ดาวนพเคราะห์” ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในพิธีกรรมบูชานี้สาธุชนในพระพุทธศาสนาสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีลงดเว้นเนื้อสัตว์และแต่งกายด้วยชุดขาว

ตำนานที่ 3ผู้ถือศีลกินเจในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีลกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวรโพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์(หรือ “เก้าอ๊อง”)ทรงตั้งปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือ ไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาติดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ


ตำนานที่ 4
กินเจเพื่อเป็นการบูชากษัตริย์เป๊ง “กษัตริย์เป๊ง” เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้องซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย) ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนนมายุได้ 9 พรรษา พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่งเป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการเมือง การที่เผยแผ่มาสู่เมืองไทยได้นั้นเพราะชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพจากฮกเกี้ยนนำมาเผยแผ่อีกทอดหนึ่ง


ตำนานที่ 51500 ปีมาแล้ว มณฑลกังไสเป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองมาก ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเป็นเลิศทั้งบุ๋นและบู๊จึงทำให้หัวเมืองต่างๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็งและมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มีทั้งหมดที่มากกว่าหลายเท่าตัวโอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ

จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่าอีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วยแต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสาและเพ่งญาณเห็นว่าควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญ ลีฮั้วก่าย

คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่ามีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบเศรษฐีจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไปและประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืนผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อนและผู้อื่นจึงปฏิบัติตามจนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย

เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไสจึงได้ศึกษาตำราการกินเจของเศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธียกอ๋องส่องเต้ (พิธีเชิญพระอิศวรมาเป็นประธานในการกินเจ)


ตำนานที่ 6
ชายขี้เมานามว่า เล่าเซ็ง เข้าใจผิดคิดว่าแม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่ได้มาเข้าฝันบอกว่า แม่ตายไปได้รับความสุขมากเพราะแม่กินแต่อาหารเจและตอนนี้แม่อยู่บนเขาโพถ้อซัว ตั้งอยู่บนเกาะน่ำไฮ้ ในมณฑลจิ๊ดเจียงถ้าลูกอยากพบแม่ให้ไปที่นั่น

ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งอยากไปแต่ไปไม่ถูกจึงตามเพื่อนบ้านที่จะไปไหว้พระโพธิสัตว์ เพื่อนบ้านเห็นเล่าเซ็งสัญญาว่าจะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงให้ไปด้วย ระหว่างทางเดินสวนกับคนขายเนื้อเล่าเซ็งลืมสัญญาที่ให้ไว้เพื่อนบ้านก็หนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านมาและต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เล่าเซ็งจึงขอตามนางไป

เมื่อถึงเขาโพถ้อซัวขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบไหว้พระโพธิสัตว์นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูปที่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเดินทางกลับเขาได้แยกทางกับหญิงสาวและได้พบเด็กชายคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่จึงเข้าไปถามไถ่ได้ความว่าเป็นลูกของเขากับภรรยาที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วยแล้ววันหนึ่งหญิงสาวที่นำทางไปเขาโพถ้อซัวมาขออาศัยอยู่ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

หญิงสาวผู้นั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ประพฤติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรมและถือศีลกินเจอยู่เนืองนิตย์ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้วจึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางอาบน้ำแต่งตัวด้วยอาภรณ์ที่ขาวสะอาดแล้วนั่งสักครู่ก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่จึงเกิดศรัทธายกสมบัติให้ลูกชายแล้วประพฤติตนใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่และหญิงสาวและประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้น


ตำนานที่ 7 การกินเจที่ภูเก็ต
มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้นานเป็นแรมปี แล้วบังเอิญช่วงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้นคณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจและสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็หายสิ้น ชาวกะทู้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงปฏิบัติตาม และหลังจากประกอบพิธีอยู่ประมาณ 2-3 ปี ผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอยากได้พิธีกินเจที่สมบูรณ์ตามแบบประเพณีมณฑลกังไส ประเทศจีน จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี่ยวเอี้ยน) ในการเดินทางกลับจะต้องคอยจุดธูปต่อกันมิให้ดับมอด ศาลเจ้ากะทู้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินเจในปัจจุบัน


ความหมายของ เจคำว่า เจ ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายเดียวกับคำว่า อุโบสถ ดังนั้นการกินเจก็คือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน เหมือนกับที่ชาวพุทธในประเทศไทยที่ถืออุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 โดยไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว

แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธฝ่ายมหายานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมนำการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกันเข้ากับคำว่ากินเจ กลายเป็นการถือศีลกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่ากินเจ ฉะนั้นความหมายก็คือคนกินเจมิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ

แจมิได้แปลว่า อุโบสถ

ในภาษาจีนมี(กลุ่ม)คำหรือวลีที่ใช้อักษรแจ(เจ, 齋 / 斋 )เป็นตัวประกอบร่วมด้วยหลายคำ แต่คำว่าโป๊ยกวนแจไก่ (八關齋戒 ) ซึ่งเป็นศัพท์ของทางพุทธศาสนา ดูจะเป็นคำที่นิยมหยิบยกมาใช้อธิบายความหมายของอักษรแจเสมอมา

โป๊ยกวนแจไก่ (八關齋戒 ) แปลว่า ศีลบริสุทธิ์แปดประการ ซึ่งก็คือ “ศีลแปด”ที่เรารูจักกันดี

คนไทยในรุ่นปู่ย่าตายายที่เคร่งในศีลวัตรจะไปอาราธนาศีลแปดจากพระสงฆ์ในวันธรรมสวนะภายในพระอุโบสถ ศีลแปดจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า “ อุโบสถศีล ”

ผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องกินเจที่ไม่เข้าใจภาษาและที่มาของคำจึงแปลอักษรแจผิดว่า “อุโบสถ” ซึ่งคำแปลนี้ก็ฮิตติดตลาดและถูกคัดลอกไปใช้บ่อยอย่างน่ารำคาญใจ เพราะหากจะเอาตามความในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานแล้ว

อุโบสถ เป็นคำนาม หมายถึง สถานที่ที่พระสงฆ์ประชุมกันทำสังฆกรรมต่างๆ เรียกย่อว่า โบสถ์

การแปลและเข้าใจคลาดเคลื่อนดังกล่าวยังถูกใช้เป็นบรรทัดฐานในการอธิบายวัตรปฏิบัติของการกินเจผิดตามไปด้วยว่า “การกินเจต้องถือศีลข้อวิกาลโภชน์” หรือการงดกินของขบเคี้ยวหลังเที่ยงวันไปแล้ว ซึ่งเป็นศีลข้อหนึ่งในศีลแปด ทั้งๆที่โรงครัวของศาลเจ้าหรือโรงเจที่เปิดเลี้ยงผู้คนในช่วงเทศกาลกินเจล้วนแต่มีอาหารมื้อเย็นให้กับผู้เข้าไปกิน ยิ่งวันที่มีการประกอบพิธีกรรมในตอนค่ำยังมีอาหารมื้อค่ำบริการเสริมให้เป็นพิเศษด้วย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะในช่วงเทศกาลกินเจนั้นเขาถือเพียงศีลห้าที่เป็นนิจศีล ไม่ได้ครองศีลแปดอย่างที่หลายคนเข้าใจ (เว้นแต่ผู้ตั้งจิตอธิษฐานว่าจะครองศีลแปดเป็นการส่วนตัวเท่านั้น)

ในทางอักษรศาสตร์จีน อักษรตัว “แจ” มีพัฒนาการมาจาก ตัวอักษร ฉี “ 齊 ” ซึ่งแปลว่าบริบูรณ์ , เรียบร้อย อักษรแจเกิดจากการเพิ่มเส้นตั้งและสองจุด ( 小 ) เข้าไปกลางอักษรฉี ทำให้เกิดตัว ซื ( 示 ) ซึ่งแปลว่าการสักการะ อยู่ในแก่นกลางของตัวฉี

แจ( 齋 ) จึงมีความหมายว่า การรักษาความบริสุทธิ์(ทั้งกายและใจ)เพื่อการสักการะ หรือ การปฏิบัติบูชาถวายเทพยดา

ซึ่งการอธิบายในแนวทางนี้จะสอดคล้องกับ คำว่า “ 齋醮 ” ในลัทธิเต๋า ซึ่งย่อมาจากคำว่า 供齋醮神 ที่แปลว่าการบำเพ็ญกายใจให้บริสุทธิ์เพื่อเป็นสักการะบูชาเทพยดา

ความหมายของแจในศาสนาอิสลาม

ศัพท์คำว่า ศีลแจ / 齋戒 ในภาษาจีน นอกจากใช้ในลัทธิเต๋าและศาสนาพุทธแล้ว ยังหมายถึง “ศีลอด” ที่ถือปฏิบัติในเดือนถือศีลอดของชาวจีนอิสลาม สาระของศีลก็คือการห้ามรับประทานอาหารใดๆในระหว่างเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นจวบจนลับขอบฟ้า ตลอดเดือนถือศีลอด

แจในวัฒนธรรมดั่งเดิมของจีน

ศัพท์ แจ พบในเอกสารจีนเก่าที่มีอายุกว่าสองพันปีหลายฉบับ เช่น 禮記 , 周易 , 易經 , 孟子 , 逸周書 (เอกสารที่อ้างนี้ปัจจุบันถือว่าเป็นคัมภีร์ในลัทธิหยู) เอกสารเหล่านั้นยังใช้อักษรตัวฉี(齊 )แต่เวลาอ่านออกเสียงกลับต้องอ่านออกเสียงว่า ไจ เช่น คำว่า ไจเจี๋ย / 齊潔 หรือ ไจเจี้ย / 齊戒 ซึ่งก็คือการออกเสียงแจในสำเนียงแต้จิ๋วนั่นเอง อักษรฉีในเอกสารนั้นนักอักษรศาสตร์ตีความว่าแท้จริงแล้วก็คืออักษรตัวแจหรือใช้แทนตัวแจ แจที่ว่านี้หาได้หมายถึงการงดกินของสดคาว หรือ การงดรับประทานอาหารหลังเที่ยง หากหมายถึงการชำระล้างร่างกาย สงบจิตใจ และสวมใส่เสื้อผ้าใหม่สะอาด เป็นการเตรียมกายและใจให้บริสุทธิ์เพื่อประกอบพิธีกรรมสักการะบูชา ขอพร หรือแสดงความขอบคุณต่อเทพยดาแห่งสรวงสวรรค์

แจเพื่อการจำแนกความเคร่งครัดของภิกษุฝ่ายมหายาน

ศีลของภิกษุฝ่ายมหายาน ในส่วนเกี่ยวกับการฉันของภิกษุแตกต่างจากฝ่ายเถรวาททั้งมีการจำแนกเป็นสองลักษณะตามสำนักศึกษาได้แก่

1.เหล่าที่ถือมั่นในศีลวิกาลโภชน์และฉันอาหารเจ จะไม่ฉันอาหารหลังอาทิตย์เที่ยงวัน เรียก ถี่แจ /持齋

2.เหล่าที่ถือมั่นแต่การฉันอาหารเจ เรียกถี่สู่ /持素

เจียะแจ

ความหมาย

เจียะแจ (食齋 ) เป็นการออกเสียงตามสำเนียงถิ่นแต้จิ๋ว ศัพท์คำนี้ใช้และเป็นที่เข้าใจแต่ทางตอนใต้ของจีนโดยเฉพาะแถบลุ่มอารยะธรรมหลิ่งหนาน (領南)ในมณฑลกวางตุ้ง อันเป็นแหล่งอาศัยดั่งเดิมของคนแคะ แต้จิ๋ว กวางตุ้งและไหหนำ ซึ่งเป็นชาวจีนกลุ่มใหญ่ในประเทศไทย เจียะแจตรงกับคำว่า ชือซู ( 吃素 )ในภาษาจีนกลาง (สำเนียงปักกิ่ง)

เจียะ ( 食 ) ในภาษาถิ่นใต้ หากใช้ในความหมายของคำกิริยา แปลว่า กิน

แจ ( 齋 ) แปลว่า บริสุทธิ์ ( 清淨 ) ( อ้างตามปทานุกรมพุทธศาสนาฉบับ วัดฝอกวงซัน ,ไต้หวัน )

เจียะแจ หรือ ตรงกับคำไทยที่นิยมใช้กันว่า กินเจ จึงแปลว่า การกินอาหารที่บริสุทธิ์ตามความเชื่อ(ในลัทธิกินเจ) ซึ่งหมายความถึงอาหารที่ไม่คาวหรือไม่เจือปนซากผลิตภัณฑ์ของสัตว์ รวมทั้งไม่ปรุงใส่พืชผักต้องห้าม

คำว่าเจียะแจนี้ชาวจีนฮกเกี้ยนทางปักษ์ใต้แถบจังหวัดภูเก็ตเรียกต่างออกไปว่า เจียะไฉ่ (食菜) ที่แปลตามตัวอักษรได้ว่า “กินผัก” แต่มีนิยามหรือความหมายตรงกับคำว่าเจียะแจที่กล่าวข้างต้น


[แก้] กินเจเพื่ออะไร?
ผู้ที่กินเจอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป แต่จุดประสงค์หลักสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้

กินเพื่อสุขภาพ อาหารเจเป็นอาหารประเภทชีวจิต เมื่อกินติดต่อกันไปช่วงเวลาหนึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ ปรับระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหารให้มีเสถียรภาพ
กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากอาหารที่เรากินอยู่ในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้มีจิตเมตตา มีคุณธรรมและมีจิตสำนึกอันดีงามย่อมไม่อาจกินเลือดเนื้อของสัตว์เหล่านั้นซึ่งมีเลือดเนื้อ จิตใจและที่สำคัญมีความรักตัวกลัวตายเช่นเดียวกับคนเรา
กินเพื่อเว้นกรรม ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งย่อมตระหนักว่าการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นองเราเป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าเองก็ตาม การซื้อจากผู้อื่นก็เหมือนกับการจ้างฆ่าเพราะถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้าทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลงเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อผู้หยั่งรู้เรื่องกฎแห่งกรรมนี้จึงหยุดกินหยุดฆ่าหันมารับประทานอาหารเจ ซึ่งทำให้ร่างกายเติบโตได้เหมือนกัน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น

พืชผักผลไม้ถือว่าเป็นยาดีๆ นี่เองประโยชน์การกินอาหารเจ นอกจากจะเป็นการถือศีลและรักษาประเพณีแล้ว ยังให้

หลักธรรมในการกินเจในทัศนะของคนกินเจ การกินที่ทำให้ชีวิตผู้อื่นต้องเดือดร้อนล้มตายนั้น “มันมากเกินไป” ทั้งๆ ที่มนุษย์กินแต่อาหารพืชผักก็สามรถมีชีวิตอยู่ได้

การกินเจตั้งมั่นอยู่บนหลักธรรมสำคัญ 2 ประการคือ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนตนเองและดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น กล่าวคือ

ไม่เอาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายมาต่อเติมบำรุงเลี้ยงชีวิตของตน
ไม่เอาเลือดของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเลือดของตน
ไม่เอาเนื้อของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเนื้อของตน
การรับประทานสิ่งใดก็ตามที่ทำลายสุขภาพร่างกายของตนให้ทรุดโทรม คือ การเบียดเบียนตนเอง ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้าได้พิสูจน์ยืนยันว่าเลือดและเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตายเต็มไปด้วยพิษภัยมากมาย

ดังนั้นการกินเจจึงไม่ใช่เพื่อให้เกิดผลดีต่อจิตใจเท่านั้นแต่ยังครอบคลุมไปถึงการมีสุขภาพพลานามัยที่ดีอีกด้วย ร่างกายและจิตใจเป็นของคู่กันมีความสัมพันธ์ส่งผลถึงกันคนเราย่อมไม่อาจจะรู้สึกเบิกบานสดชื่นร่าเริงได้ในขณะที่ร่างกายเจ็บป่วยทรุดโทรมย่ำแย่


การปฏิบัติตนในช่วงกินเจ
ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืน ผู้ที่ต้องการกินเจอย่างครบถ้วยสมบูรณ์ตามประเพณีการกินเจ จะต้องปฏิบัติดังนี้

งดเว้นเนื้อสัตว์หรือทำอันตรายต่อสัตว์
งดนม เนย และน้ำมันที่มาจากสัตว์
งดอาหารรสจัด ซึ่งหมายถึงอาหารเผ็ด หวานมาก เปรี้ยวมาก เค็มมาก
งดผักหรือเครื่องเทศที่มีกลิ่นแรง เช่น ผักชี กระเทียม หัวหอม ต้นหอม กุยช่าย รวมทั้งใบยาสูบ สิ่งเสพติดและของมึนเมาต่างๆ
รักษาศีลห้า
รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์
ทำบุญทำทาน
นุ่งขาวห่มขาว
สำหรับผู้ที่เคร่งครัดเพื่อการกินเจให้เป็นไปอย่างบริสุทธ์โดยแท้ จะเพิ่มการปฏิบัติโดยการกินอาหารเฉพาะที่คนกินเจด้วยกันเป็นผู้ปรุงเท่านั้น รวมถึงจะล้างหม้อไหจนสะอาดเอี่ยมแยกภาชนะสำหรับการปรุงอาหารเจไว้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังจุดตะเกียงไว้ 9 ดวงตลอดช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน โดยไม่ปล่อยให้ดับเพื่อเป็นพุทธบูชาและรำลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ญาติพี่น้องตลอดจนผู้ที่มีบุญคุณต่อผืนแผ่นดินเกิด


ธงที่ใช้ประดับหน้าร้านอาหารเจต้องมีตัวอักษรจีนสีแดงด้วย 齋
เจ็ดวันอันควรงดเว้นจากการกินเนื้อสัตว์
แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากที่ยังคงเข่นฆ่ากินเลือดกินเนื้อสัตว์ทุกวัน แต่อย่างน้อยที่สุดควรหยุดคิดสักนิดให้เห็นถึงความสำคัญของวันทั้ง 7 ที่ควรงดเว้นเนื้อสัตว์เพื่อเป็นมงคลชีวิตสู่ความสำเร็จของตนเองและครอบครัว ถือเป็นมหากุศลและเมตตาธรรมสูงสุด

กินเจในวันเกิดของตนเอง
วันที่เราได้เกิดมามีชีวิตไม่ควรทำลายผู้อื่น สัตว์ทั้งหลายเมื่อถือกำเนิดมาบนโลกต่างก็อยากมีชีวิตอยู่ยืนยาว เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่ไปฆ่าผู้อื่นแล้วกินเลือดกินเนื้อเขาเพื่อฉลองวันเกิดของตนเองซึ่งเป็นการตัดทอนอายุขัยของผู้อื่นให้สั้นลงแล้วจะหวังให้ตนเองมีอายุยืนยาวได้อย่างไร

กินเจในวันเกิดของลูกหลาน
ในวันเกิดของลูกหลานวันที่ชีวิตใหม่ถือกำเนิดผู้เป็นพ่อแม่ต่างชื่นชมยินดีเป็นที่สุด ลูกของเราเรารักดังแก้วตาดวงใจยามลูกนอนก็คอยปัดเป่าพัดวีแม้แต่ยุง เหลือบ ริ้น ไร มิยอมให้ขบกัด สัตว์ทุกตัวก็รักลูกของเขาเช่นเดียวกับมนุษย์ ดวงใจของผู้เป็นพ่อแม่ ไม่มีแบ่งแยกว่าเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ลูกของใครใครก็รักเพราะฉะนั้นวันที่เราได้ลูกต่างสุดแสนดีใจแล้วทำไมจึงต้องทำให้ผู้อื่นเสียใจที่ลูกต้องตายจากไป


กินเจในวันแต่งงานหรือวันมงคลสมรส
วันแต่งงานหรือวันมงคลสมรสเป็นวันที่มีความหมายอย่างยิ่งในชีวิต ในชั่วชีวิตของแต่ละคนจะมีงานมงคลนี้เพียงครั้งเดียว ทุกคนเมื่อแต่งงานกันแล้วต่างก็อยากมีชีวิตที่ยั่งยืนได้ครองรักกันไปจนแก่เฒ่า คู่รักของใครต่างก็รักและหวงแหนไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำอันตราย สัตว์ก็มีคู่ชีวิตรู้จักรักและหวงแหนเช่นกัน หากวันที่เราได้คู่ชีวิตมาเคียงข้างกลับเป็นวันที่เราพรากชีวิตคู่ของผู้อื่นมานั้นมันช่างไม่ยุติธรรมเลย ดังนั้นวันที่เราแต่งงานได้คู่ครองจึงไม่ควรพราดชีวิตสัตว์อื่น


กินเจในวันงานเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติมิตร
ในโอกาสจัดงานเลี้ยงสังสรรค์รับรองเพื่อนฝูงญาติมิตรทุกคนที่มาร่วมชุมนุมต่างปลื้มปีติที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง โอกาสที่น่ายินดีเช่นนี้เราไม่ควรใช้ชีวิตเลือดเนื้อของผู้อื่นมาเลี้ยงฉลองเพราะขณะที่เราดีใจที่ฉลองด้วยเลือดเนื้อผู้อื่น แต่สัตว์ทั้งหลายต่างโศกเศร้าเสียใจที่ต้องตายจากกันไป หากจัดเลี้ยงเพื่อนฝูงด้วยอาหารพืชผักและผลไม้ถือได้ว่าเป็นบุญกุศลยิ่งใหญ่ที่บังเกิดขึ้นแก่เพื่อนฝูงผู้มาร่วมงานซึ่งถือว่าเป็นความปีติยินดีให้แก่ทุกฝ่ายอย่างแท้จริง

กินเจในวันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
ผู้ที่มีความกตัญญูที่แท้จริงไม่พึงกระทำอย่างยิ่งในงานบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ผู้ที่เราเคารพรัก ทุกคนรู้สึกโศกเศร้าเสียใจที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป ฉะนั้นในงานศพจึงไม่ควรทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องตายตามไปด้วย ดวงวิญญาณของคนที่เขาเคารพรักเหล่านั้นย่อมจะจากไปโดยไม่มีความสงบสุขแน่หากรู้ว่างานศพของตนเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้อื่นต้องล้มตายลงอย่างมากมาย

กินเจในงานทำบุญสร้างกุศลทุกโอกาส
คนเรามีโอกาสประสบสิ่งดีๆ ในชีวิตมีโอกาสที่ได้สร้างบุญกุศลอยู่เสมอ เช่น วันขึ้นปีใหม่หรือวันทำบุญอื่นๆ การจัดงานทำบุญในวันเหล่านี้ทุกคนต่างก็มุ่งหวังให้ตนมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ายิ่ง ให้มีชีวิตที่ดีได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป ฉะนั้นในงานสร้างบุญกุศลทุกงานจึงไม่สมควรเลี้ยงพระ เณร แขกเหรื่อและเพื่อนฝูงด้วยชีวิตและความตายของสัตว์ เพราะเหตุนี้ในโอกาลงานบุญงานกุศลที่เราทุกคนปรารถนาแต่ความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าอยู่เย็นเป็นสุขจึงไม่ควรสร้างบาปซึ่งเป็นเหตุให้ชีวิตผู้อื่นต้องตาย

กินเจในโอกาสขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ในโอกาสที่ไปกราบไหว้สักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าพระองค์ใดก็ตาม ทุกคนควรชำระล้างปาก ลิ้น ให้สะอาดด้วยการกินเจ กระทำตนให้สะอาดทั้งกายวาจาและจิตใจ เมื่อนั้นก็จะบังเกิดความสุขความเจริญเป็นสิริมงคลแก่ตัวเราเอง การถวายเครื่องสักการะอื่นใดแม้จะมีราคาแพงสักเท่าไรมันก็เป็นเพียงวัตถุสิ่งของเท่านั้น ขอให้ทุกคนจงนำเอา “จิตใจอันดีงาม” ซึ่งมีอยู่แล้วในตัวของทุกๆ คนออกมาถวายเป็นเครื่องสักการะต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์เบื้องบน จิตใจที่มีแต่ความบริสุทธิ์ดีงามของมนุษย์นี่แหละเป็นเครื่องสักการะอันล้ำค่าที่สุด


เบ็ดเตล็ด
สี
ทำไมต้องใช้ธงสีเหลือง ตัวหนังสือสีแดง แต่งกายสีขาว?

สีแดง เป็นสีที่ชาวจีนเชื่อว่าเป็นสีศิริมงคล ดังจะเห็นได้ว่าในงานมงคลต่างๆ ของคนจีนไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง วันตรุษจีน

สีเหลือง เป็นสีสำหรับใช้ในราชวงศ์ซึ่งอนุญาตให้ใช้ได้เพียงคนสองกลุ่มเท่านั้น กลุ่มแรกคือกษัตริย์ซึ่งเห็นได้จากหนังจีน เครื่องแต่งกายและภาชนะต่างๆ เป็นสีเหลืองหรือทองซึ่งคนสามัญห้ามใช้เด็ดขาด กลุ่มที่สองคืออาจารย์ปราบผีถ้าท่านสังเกตในหนังผีจีนจะเห็นว่าเขาแต่งกายและมียันต์สีเหลือง

สีขาว ตามธรรมเนียมจีนสีขาวคือสีสำหรับการไว้ทุกข์ สีดำที่เราเห็นกันอยู่ในขณะนี้เป็นการรับวัฒนธรรมตะวันตก ถ้าท่านสังเกตในพิธีงานศพของจีนจะเห็นลูกหลานแต่งชุดสีขาวอยู่

สีซึ่งกล่าวมาทั้งหมดนี้สามารถนำไปเชื่อมโยงในตำนานข้างต้นที่กล่าวมาได้ทั้งหมด

เพื่อนเจ
เพื่อนเจเราจะเรียกว่า แจอิ๊ว หมายถึงเพื่อนที่กินเจเวลาร้านค้าเรียกลูกค้าในวันนั้นจะเหมารวมคนที่ใส่ชุดขาวว่า แจอิ๊ว ทั้งหมด

ถ้วยชามหากเป็นสมัยก่อนถ้วยชามที่ใช้ในเทศกาลกินเจก็จะมีชุดใหม่ซึ่งไม่ปนกับชุดที่ใช้อยู่ทุกวัน บางบ้านจะทำความสะอาดบ้านเพื่อต้อนรับเทศกาลกินเจ

อ้างอิงหนังสือกินเจเพื่อปรับสมดุลในร่างกาย ฉบับพิเศษ กรุงเทพธุรกิจ
หนังสือกินเจหนึ่งมื้อ หมื่นชีวิตรอดตาย ฉบับพิเศษ กรุงเทพธุรกิจ
หนังสือกินเจกินเพื่อชีวิตและสุขภาพ ฉบับพิเศษ กรุงเทพธุรกิจ
http://www.wattampa.com/page_04/article_480.html
http://www.susarn.com/susarnth/th_tip-of-the-day/kinja.html
http://www.lib.ru.ac.th/journal/oct/oct_gin-ja-fastival.html
http://www.eduthai.com/chinese/jfood.asp
http://www.siam2.com/library/kin-j/index.php
http://www.yotavegetarian.com
ดึงข้อมูลจาก "http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%88".

18/9/51

7 เทคนิคเพื่อเรียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ และจดจำได้ forever 555

Tip#1: อ่านให้มาก การอ่านบทความ, หนังสือ, นิตยสาร ภาษาอังกฤษเป็นวิธีที่จะช่วยให้ผู้อ่านได้พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ หากต้องการเพิ่มคำศัพท์จำนวนมาก อยากแนะนำให้อ่านหนังสือหรือบทความใน field ที่เราไม่คุ้นเคย, หาหนังสือที่สนุกสนานหรือเราสนใจจะได้อ่านมากขึ้น , รวมทั้งให้พยายามจดคำศัพท์พร้อมประโยคที่เราได้อ่านและเปิด dictionary กลับมาทบทวน

Tip#2: ให้เล่นเกมส์เกี่ยวกับคำศัพท์โดยเฉพาะเกมส์ประเภท Scrabble, Boggle, หรือ Hangman เพราะเกมส์เหล่านี้ช่วยกระตุ้นให้เราคิดถึงคำศัพท์จำนวนมาก สำหรับการเล่นเกมส์ Scrabble ก็เล่นแบบที่อนุญาตให้เปิด dictionary ก็ได้จะพยายามค้นขว้าหาคำศัพท์มากขึ้น ไม่ใช่ใส่แต่คำว่า "dog", "cat" หรือ "apple" เท่านั้น

=> http://www.fun-with-words.com/boggle.html (เกมส์ Boggle)
=> http://www.fun-with-words.com/hangman.html (เกมส์ Hangman)

Tip#3: ให้เล่นปริศนาอักษรไขว (crosswords) ให้ลองเริ่มจากนิตยสารง่ายๆ อย่างเช่น Student Weekly หรือ NJ แล้วต่อค่อยมาเล่นที่ Bangkok Post ก็ได้ จะได้ไม่ท้อคะ

Tip#4: ให้ใช้ dictionary เป็นประจำ อยากแนะนำให้ใช้ dictionary ภาษาอังกฤษเป็นภาษาอังกฤษ เราจะได้ไม่เป็นเหมือนนกแก้วนกขุนทองนะ ดังนั้นการใช้ dictionary อังกฤษเป็นอังกฤษจะฝึกให้เราอ่านเพื่อความเข้าใจว่ากว่าการท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง

Tip#5: ทบทวน-ทบทวน-ทบทวน วิธีนี้จะช่วยให้เราสามารถจดจำคำศัพท์ได้ดีครับ ลองทำ flash card (กระดาษจดศัพท์ที่เราสามารถจับมันมา review ในทุกวัน) และลองทบทวนเมื่อตอนรถติด หรือระหว่างรอแฟนก็ได้นะ จะได้ฆ่าเวลาดี รวมทั้งสามารถประหยัดค่าโทรศัพท์ได้มากเนื่องจากไม่ต้องไปโทรคุยกันเรื่อยเปื่อย และหากสามารถนำคำศัพท์เหล่านั้นมาใช้ได้ในการเรียนหรือการทำงานในวันนั้น ต้องขอคารวะตัวเองเลยคะ เพราะท่านจะจำคำศัพท์คำนั้นได้เป็นเวลานานและใช้มันได้ถูกต้องด้วย

Tip#6: ลองค้นทาง website เพื่อหาสมัคร "word of the day" หรือซื้อประเภทปฏิทินฉีกที่มีการแนะนำคำศัพท์วันละคำ

Tip#7: จัดตั้งกลุ่ม "study buddies" หรือคู่หูเพื่อท่องและเรียนรู้เกี่ยวกับศัพท์ จะได้เป็นแรงกระตุ้นซึ่งกันและกันนะคะ

บทความเกี่ยวข้องที่อยากแนะนำ
แนะนำหนังสือเพื่อเตรียมสอบและพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษทั่วไป
เรียนเรื่อง idiom ได้ที่ไหน?
Website เพื่อช่วยในวางแผนการเดินทางต่างประเทศ
หาทุนศึกษาต่อ-ต้องอ่าน blog นี้

Top 10: Website ที่น่าสนใจเพื่อฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษ

…คลิกได้ทุก link นะค่ะ...

CNN – web นี้ถือว่าเป็นช่องข่าวระดับโลกที่มีการ update ข้อมูลออย่างสม่ำเสมอ รวมทั้ง มีเรื่องราวและสาระที่น่าสนใจมากครับ http://www.cnn.com/WORLD/

Satellite TV – อันนี้ถึงว่าเป็นสุดยอดของสุดยอดครับรวบรวม TV กว่า 8,000 ช่องให้เราดูจนตาแฉะเลยว่าอย่างนั้น หากแต่มีข้อเสียนิดต้องเสียค่าแรกเข้าแต่สามารถใช้บริการฟรีได้หลังจากนั้น… เค้ามี bonus ให้download ภาพยนตร์ได้อีกเป็นพันๆ เรื่องฟรีด้วยครับ แต่ผมยังไม่เคยลอง แค่ดู TV นี้ก็เกินคุ้มแล้วครับ :)http://www.satellitetvtopc.com

Shop at Home TV – ใช่แล้วครับ ผมแนะนำให้ชมช่อง Shopping ทาง TV เพื่อฝึกฝนภาษาอังกฤษนะครับเพราะโฆษณาและสื่อประเภทนี้จะมีการกรองให้ตรงประเด็นและเข้าใจง่าย (เหมาะกับผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองมาก) และเผลอๆ คุณอาจจะอยากซื้อของ on-line ผ่าน Shop at Home ก็ได้ครับ 555 http://www.shopathometv.com/home.jsp

CNBC Asia – NBC เป็นสถานีข่าวที่ผมชอบมากอีกสถานีหนึ่ง ภายหลังการ take over ของสถานีโดยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง G.E. แล้วสถานีนี้ยิ่งได้รับการปรับปรุงให้รายการดูหน้าสนใจยิ่งขึ้นนะครับ :)http://www.cnbc.com/id/19832390

BBC – เป็นองค์กรข่าวที่เก่าแก่ที่สุดในโลกก็ว่าได้นะครับ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากนะครับ ในบางช่วงของสงคราม BBC ก็ถูกรัฐบาลอังกฤษนำมาใช้เป็นสื่อเพื่อต่อสู้ทางด้านมวลชน หากแต่ปัจจุบันองค์กรนี้ได้รับการยกย่องว่าทำข่าวระหว่างประเทศได้ดีที่สุดและมีความเป็นอิสระมากที่สุดครับ http://www.bbc.co.uk/

Discovery Channel – ชอบมากครับ อันนี้ หากใครเตรียมตัวสอบ TOEFL ต้องดูครับ!http://www.discovery.com/

Fox TV – หนัง, ละคร, series, และ เรื่องราวบันเทิงทั้งหลาย มีจัดไว้ให้ที่นี่แล้วครับhttp://www.fox.com/home.htm

Sony Music – บริษัท Sony ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะเปลี่ยนตัวจากบริษัทที่ขายอุปกรณ์ไฟฟ้ามาเป็น content provider หรือผู้ให้บริการเนื้อหา Sony Music ก็เป็นหนึ่งในความพยายามดังกล่าว ลองดู Music Video และอ่านบทความเกี่ยวกับนักร้องที่คุณชื่นชอบได้ครับ http://musicbox.sonybmg.com/videos

ESPN – หากชอบกีฬา มีให้ดูเกือบทุกประเภทตั้งแต่อเมริกันฟุตบอล, ฟุตบอล, ice hockey, มวย, และช่วงที่ผมเขียนเรื่องนี้เบสบอลกำลังมาแรงมากครับ http://espn.go.com/

14/9/51

เทคนิคการเขียน resume ที่ดี

องค์ประกอบที่ดีของ ResumeResume
ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้คือ

Name & contact info.: ข้อมูลเพื่อให้นายจ้างหรือมหาวิทยาลัยสามารถติดต่อเราได้
Education: ประวัติการศึกษา
Experiences: ประวัติการทำงาน
Personal: ความสนใจส่วนตัวหรือความสำเร็จอื่นน่าจะ highlight

ทิปสำหรับการเขียน resume
ใน resume เราควรมีทั้งชื่อ, นามสกุล, ที่อยู่, เบอร์โทรศัทพ์ที่ชัดเจนอยู่ด้านบน และสำหรับโลกยุคใหม่นี้สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ email address ครับ

ในกรณีที่มี 2 ที่อยู่เช่นอยู่ระหว่างการศึกษาต่อในต่างประเทศให้เขียนที่อยู่แยกซ้ายกับขวา

เราควรใช้กระดาษ A4 หรือ Letter(8.5 X 11 in.) เท่านั้น
กระดาษที่ใช้ควรเป็นสีขาว หรือสีนวล เท่านั้น บางท่านอยากจะใช้กระดาษสีชมพู, ม่วง, แดง หรือ เขียว เพื่อให้ resume ของตนดูสะดุดตาขึ้น โดยส่วนตัวจะไม่แนะนำเพราะมีความเสี่ยงที่จะถูกมองว่าเป็น resume ที่ไม่จริงจังได้ กระดาษที่มีกลิ่นหอมก็คงไม่จำเป็นนะคะ 555 +++

ตัวอักษรที่ใช้ใน resume ควรจะเป็น Times New Romam ขนาดตัวอักษรเท่ากับ 12 หากแต่สามารถปรับลดเหลือ 11 หรือ 10 ได้เพื่อให้สามารถเขียนข้อมูลได้มากขึ้น

11/9/51

ตรวจก่อนแต่ง มีอะไรมากกว่าที่คุณคิด

ในช่วงหนึ่งมีการสนับสนุนให้คู่ที่กำลังจะแต่งงานไปรับการตรวจเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนแต่ง เรื่องนี้มีการพูดถึงอยู่พักหนึ่งแล้วก็ซาๆไป เหตุผลที่แท้จริงนั้นผมก็ไม่ทราบ แต่ว่าสิ่งที่พบเห็นเสมอในเหตุผลของการบ่ายเบี่ยงไม่ยอมไปตรวจมักจะเป็นเรื่องของความเชื่อใจ

เพราะว่าหนึ่งในการตรวจก่อนการแต่งงานนั่นคือการตรวจเอดส์หรือเอชไอวีซึ่งถือเป็นเรื่องของความซื่อสัตย์แบบหนึ่ง นี่เองจึงเป็นเหตุที่ทำให้คู่แต่งงานหลายๆคู่ไม่ได้ทำการตรวจก่อนการแต่ง จริงอยู่ที่เรื่องเอชไอวีเป็นหนึ่งในการตรวจก่อนการแต่ง แต่ว่าไม่ใช่ทั้งหมดครับ .... เนื่องจากเรื่องนี้ทำให้หลายๆคู่พลาดการตรวจที่สำคัญไป และต้องมากลุ้มใจกันภายหลังเมื่อกำลังจะมีลูก ดังนั้นผมจึงนำความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการตรวจก่อนการแต่งงานมานำเสนอให้ดูกัน

ตรวจไปเพื่ออะไร
จุดประสงค์ในการตรวจที่สำคัญในทางวิชาการนั้นคือลดจำนวนผู้ที่จะป่วยเป็นโรคชนิดต่างๆ โดยมุ่งหมายไปที่โรคที่สามารถติดต่อกันระหว่างชายหญิง โรคที่สามารถติดต่อไปยังลูก และอีกสองอย่างคือ "โรคที่ไม่ปรากฎในพ่อแม่แต่มาเกิดในลูก" กับ "สภาพร่างกายของแม่ก่อนการตั้งครรภ์"เคยมีเหมือนกันที่ถามมาประมาณว่าอยู่ด้วยกันก่อนแต่งมาระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังจำเป็นจะต้องตรวจหรือไม่ ... ซึ่งความจริงจำเป็น

ดังนั้นการตรวจจึงไม่ได้มีเพียงการตรวจโรคทางเพศสัมพันธ์เพียงอย่างเดียวหากแต่มีการตรวจอีกหลายด้านหลายทิศทาง

การตรวจตรวจอะไร
การตรวจมีหลายขั้นตอนขึ้นอยู่กับแต่ละโรงพยาบาล แต่ว่าหลักใหญ่ก็มีอย่างที่กล่าวมาแล้ว ในรายละเอียดของการตรวจนั้นก็มีดังจะกล่าวนี้

- ตรวจเรื่องทางเพศสัมพันธ์
โรคที่ติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์นั้นมีสองโรคหลักสำคัญคือ โรคเอดส์ กามโรคและตับอักเสบบีตับอักเสบบีเป็นโรคที่มีการติดต่อหลักทางเพศสัมพันธ์และสามารถติดต่อได้ง่ายกว่าเอดส์หลายเท่า ผลเสียของโรคตับอักเสบบีนั้นมีทั้งต่อตัวคู่สมรส และเด็กที่จะคลอดออกมา เนื่องจากผู้ใหญ่ที่ติดโรคนี้มีความเสี่ยงที่จะมีการดำเนินโรคไปเป็นโรคตับอักเสบ ตับแข็งและมะเร็งตับ ....

โดยเฉพาะเด็กทารกที่กำลังจะเกิดขึ้นมา หากติดเชื้อก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อนี้และการเป็นมะเร็งตับได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ ...

ส่วนถ้าหากคู่สมรสเป็นตับอักเสบบี อีกฝ่ายก็สามารถฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อได้ก่อนการแต่งงาน และต้องรอให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเสียก่อน จึงจะมีเพศสัมพันธ์ได้โดยที่ไม่ต้องใช้ถุงยางเอดส์ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่อันตรายอย่างที่เราก็รู้กัน แม้ว่าบางครั้งจะไม่ได้ติดต่อไปถึงลูก แต่ก็ส่งผลให้เด็กกำพร้าและมีปมด้อยได้ในอนาคต

กามโรค แม้ว่าในปัจจุบันเรื่องกามโรคจะลดความเข้มข้นไปเพราะการแพร่กระจายของโรคเอดส์ แต่ก็ยังนับว่ามีความสำคัญเนื่องจากโรคกามโรคหลายโรคนั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายของทารกหรือความพิการแต่กำเนิดของเด็กทารก

สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังไว้ก็มี เพราะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนในความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย สิ่งที่ควรทำคือต้องตกลงกันให้ดีและทำความเข้าใจกันให้ได้ก่อนการตรวจ ซึ่งในชั้นนี้ก็ต้องทำการแนะนำ

- ตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อโรคที่มีผลต่อเด็ก
โรคที่ต้องระมัดระวังก็มีที่สำคัญคือ

หัดเยอรมัน ซึ่งหากมารดาไม่มีภูมิคุ้มกันและเกิดติดเชื้อในช่วงต้นของการตั้งครรภ์ ก็มีความเสี่ยงสูงมากที่จะมีทารกออกมาพิการ ซึ่งเป็นความพิการในระบบต่างๆหลายระบบมากทั้งการได้ยิน มองเห็น และระบบหัวใจ ... ดังนั้นถ้ามารดาไม่เคยฉีดวัคซีนโรคหัดเยอรมันเลย ก็ควรไปตรวจภูมิคุ้มกันของโรคนี้( บางคนไม่เคยฉีดแต่ว่าติดมาตอนเด็กๆโดยไม่รู้ตัวจะได้ไม่ต้องฉีดซ้ำ) หากไม่มีภูมิก็จะได้ฉีดไปเลย

อีสุกอีใส แม้ว่าจะมีอันตรายต่อทารกน้อยกว่าหัดเยอรมัน แต่ว่าเนื่องจากเป็นโรคที่มีวัคซีนและปัจจุบันมีคนที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสตอนเด็กเพิ่มขึ้น ดังนั้นถ้าเป็นไปได้อาจจะตรวจภูมิคุ้มกันในรายที่ไม่แน่ใจ ซึ่งถ้าไม่มีก็จะได้ฉีดวัคซีนไปเลย

ข้อควรรู้ก่อนการได้รับวัคซีนเหล่านี้คือ วัคซีนเหล่านี้สร้างจากเชื้อที่ยังไม่ตาย ... แม้ว่าในทางปฏิบัติจะไม่พบว่ามีผลต่อเด็กทารก แต่ว่าในทางทฤษฎีนั้นมันมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลต่อทารกในท้องได้

ดังนั้นหากคุณไปตรวจแล้วไม่มีภูมิก็ต้องทำดังนี้
1. ตรวจหาว่ามีการตั้งครรภ์แล้วหรือไม่ (ในรายที่มีอะไรกันก่อนแต่งหรือก่อนตรวจ)
2. ฉีดวัคซีน
3. รอให้พ้นกำหนด เข้าระยะปลอดภัยแล้วจึงจะหยุดการคุมกำเนิดและเตรียมมีลูกได้ โดยทั่วๆไปคือสามเดือนหลังการฉีดเข็มสุดท้าย

เข้าใจแล้วใช่ไหมครับ ว่าทำไมเราต้องวางแผนการตรวจก่อนแต่ง.... ก็เพราะเรื่องการฉีดวัคซีน ต้องวางแผนล่วงหน้า โดยทั่วๆไปก็จะต้องฉีดก่อนการแต่งหรือวางแผนมีลูกนานถึงสามเดือน

-ตรวจร่างกายมารดา
รคประจำตัวบางอย่างมีผลต่อการตั้งครรภ์อย่างเช่นโรคหัวใจ โรคหอบหืด ความดันสูง เบาหวาน ไทรอยด์เป็นพิษโรคเหล่านี้อาจหลบซ่อนอยู่โดยที่ฝ่ายหญิงไม่ทราบมาก่อน ดังนั้นก็ควรตรวจร่างกายและซักประวัติก่อน .... เพื่อที่ว่าหากพบโรคที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ จะได้วางแผนการตั้งครรภ์ให้ดีต่อไป ในทางกลับกัน หากตั้งครรภ์โดยไม่รู้หรือไม่ได้วางแผน อาจจะส่งผลที่เป็นอันตรายต่อทั้งชีวิตของแม่และลูกในท้องได้

-ตรวจหมู่เลือด
ที่สำคัญคือการตรวจหมู่เลือดว่าเป็นABO และเป็นหมู่Rhใด เนื่องจากมีผลต่อการตั้งครรภ์และภายหลังคลอด

- ธาลัสซีเมีย
โรคนี้เป็นโรคเลือดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เป็นโรคที่ทำให้เกิดภาวะโลหิตจางแบบต่างๆขึ้นและพบบ่อยในคนไทย ... เนื่องจากเป็นโรคทางพันธุกรรมก็ทำให้บางครั้งไม่ปรากฎอาการในพ่อแม่แต่มาพบในลูกได้

ความสำคัญของธาลัสซีเมียอยู่ที่ ธาลัสซีเมียบางกลุ่ม จะก่ออันตรายต่อแม่และลูก บางกลุ่มทำให้เมื่อลูกเกิดออกมาแล้วมีภาวะซีดรุนแรงจนต้องให้เลือดบ่อยๆและมีช่วงชีวิตที่สั้น(และทรมาน) ซึ่งในกลุ่มเหล่านี้บางครั้งเมื่อพบว่าพ่อแม่มีความเสี่ยงสูง หากแม่มีการตั้งครรภ์ก็จะทำการตรวจว่าลูกเป็นหรือไม่... ถ้าลูกในท้องเป็นชนิดที่รุนแรงมาก ก็อาจจะพิจารณาทำแท้งเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อมารดาและเพื่อเด็กที่จะได้ไม่ต้องเกิดมาใช้ชีวิตอย่างทรมาน

การตรวจธาลัสซีเมียในปัจจุบันมีการตรวจเลือดคัดกรองด้วยวิธี DCIP และ OF ... เมื่อตรวจคัดกรองแล้วสงสัยก็จะทำการตรวจHemoglobin Typingครับ ในปัจจุบัน การตรวจสามารถทำได้ทั่วประเทศ และมีความแม่นยำสูงพอใช้ (ยกเว้นธาลัสซีเมียบางชนิดที่มีอาการค่อนข้างมากแต่ผลเลือดอาจจะแปลผลได้ปกติ ซึ่งเป็นเพียงส่วนน้อย) ปัจจุบันเราจะตรวจคัดกรองในหญิงตั้งครรภ์ทุกราย แต่ในรายที่มีเงินปัจจัยพอ การรู้ล่วงหน้าก็ย่อมทำให้เตรียมตัวได้ดีกว่า

- ซักประวัติเรื่องโรคทางพันธุกรรม
โรคทางพันธุกรรมบางชนิดเป็นโรคที่ต้องไต่ถามกันตั้งแต่ก่อนแต่ง เพราะหากพบว่ามีความเสี่ยงจะได้เตรียมตัวถูกอย่างเช่นในกรณีที่ซักไปซักมา ทางพ่อมีประวัติว่ามีคุณอาคนนึงเป็นเลือดออกไม่หยุดและเสียไปแล้วเมื่อ10ปีก่อน ทางฝ่ายหญิงซักได้ว่ามีพี่ชายและน้องชายเสียไปแต่เด็กทั้งสองคนจากเลือดออกไม่หยุด .... ประวัติแจ๊คพ็อตแบบนี้ต้องการการเตรียมตัวก่อนการตั้งครรภ์ที่ละเอียดถี่ถ้วน

กรณีที่พบได้ก็อย่างเช่นพวกโรคฮีโมฟีเลีย(เลือดออกไม่หยุด) กรณีอื่นๆก็ต้องดูเป็นกรณีๆไปครับ หากพบว่ามีความเสี่ยง แพทย์ก็จะนัดมาตรวจตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้อ่อนๆ เพื่อจะได้วางแผนการจัดการตั้งแต่อายุครภ์น้อยๆ

- เตรียมตัวบำรุง
เดี๋ยวนี้มีโฆษณานมเสริมโฟเลต ที่กินเพื่อป้องกันทารกไม่ให้เป็นโรคNeural tube defect (ปลายไขสันหลังไม่ยอมปิด) และบำรุงสมองทารก....

แต่ในต่างประเทศและในวงการแพทย์ ส่วนใหญ่เราจะให้ผู้ที่ตั้งใจว่าจะมีลูก กินบำรุงไว้ก่อนตั้งแต่ไม่ท้อง เพราะว่ามารดาจะรู้ว่าท้อง บางครั้งก็อายุครรภ์ปาไป1-2เดือนแล้ว ซึ่งNeural tube จะปิดตัวก็ช่วง12สัปดาห์หรือเดือนที่สาม ซึ่งการมากินบำรุงทีหลังนั้นก็อาจจะเป็นการบำรุงที่ช้าเกินไปอาจารย์กุมารแพทย์ท่านหนึ่งแนะนำ(ในชั้นเรียน)ให้กินคะน้าทอดกรอบล่วงหน้าก่อนการจะตั้งครรภ์ เนื่องจากคะน้าเป็นผักที่อุดมไปด้วยแคลเซี่ยมและโฟเลต ซึ่งล้วนแต่ส่งผลดีต่อการตั้งครรภ์ ข้อสำคัญคือหาง่ายอร่อยช่วยระบาย ที่สำคัญ ราคาถูก

===========================

พ่อแม่มือใหม่

มันเป็นสิ่งที่วิเศษ ปลาบปลื้ม ดีใจ เมื่อรู้ว่าครอบครัวกำลังจะมีสมาชิกใหม่ตัวน้อย ๆ ถือกำเนิดอยู่ในครรภ์ของคุณ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้หมดทุกคำ แต่ในขณะเดียวกัน พ่อแม่บางรายอาจเกิดความวิตกกังวล และไม่มั่นใจกับการเตรียมตัว เราจึงมีคำแนะนำ และข้อควรปฏิบัติสำหรับคุณพ่อและคุณแม่ตั้งครรภ์

1.ควรรีบฝากครรภ์เมื่ออายุครรภ์ยังน้อย หรือเพิ่งรู้ว่าตั้งครรภ์ เพราะจะเป็นประโยชน์กับตัวคุณแม่เอง แพทย์จะได้ตรวจวินิจฉัย และตรวจโรคต่าง ๆ ได้ เผื่อมีปัญหาอะไรจะได้ป้องกันหรือแก้ไขได้ทัน และควรจะหาโรงพยาบาลที่เดินทางนานไม่เกิน 2 ชั่วโมง เพราะจะสะดวกในการเดินทางมาทำคลอดด้วย

2.เมื่อฝากครรภ์แล้วควรเก็บเอกสารการฝากครรภ์ให้ดี อย่าทำหาย ทุกครั้งที่มาตรวจครรภ์ ต้องนำใบฝากครรภ์นี้มาด้วยทุกครั้ง และพยายามมาทุกครั้งที่แพทย์นัด

3.ปฏิบัติตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และรับประทานยาบำรุงต่าง ๆ ที่แพทย์สั่งด้วย

4.ควรเตรียมเสื้อผ้า เครื่องใช้ ของส่วนตัวต่าง ๆ ของทารกให้พร้อม

5.ควรเตรียมชื่อบุตรทั้งชายและหญิงด้วย เพราะถ้าไม่เตรียมไว้ เมื่อคลอดแล้วยังไม่ได้ส่งชื่อไป ทางโรงพยาบาลจะตั้งชื่อสำรองไว้ในสูติบัตร ซึ่งจะทำให้เกิดความยุ่งยากในการเปลี่ยนชื่อ จะทำให้เด็กต้องมีทั้งสูติบัตรคู่กับใบเปลี่ยนชื่อไปตลอดชีวิต

6.ปรึกษากันระหว่างพ่อกับแม่ว่าจะมีบุตรกี่คน เว้นช่วงกี่ปี และจะคุมกำเนิดแบบใดดี เดี๋ยวนี้มีวิธีการคุมกำเนิดหลายวิธีด้วยกัน ทั้งฉีด กิน ฝัง ฯลฯ ระยะเวลาการคุมกำเนิดก็จะแตกต่างกันไป หรือถ้าอยากได้รับคำแนะนำ ก็ควรจะปรึกษาปัญหาวางแผนครอบครัว

7.การแบ่งเบาภาระงานบ้านงานเรือนควรจะตกเป็นหน้าที่ของสามี อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยจึงไม่ได้ช่วยทำ เพราะขณะตั้งครรภ์ ภรรยาจะไวต่อความรู้สึกต่าง ๆ มากกว่าปกติ อาจจะทำให้คิดมากขึ้น เกิดความน้อยใจ ร้องไห้ง่าย และอารมณ์นี้จะส่งไปถึงลูกน้อยในครรภ์ด้วย ทั้งนี้เป็นเพราะได้มีการหลั่งฮอร์โมนออกมามาก ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน ฯลฯ ดังนี้ ถ้าสามีจะเอาใจภรรยาเป็นพิเศษ ก็จะดีไม่น้อยทีเดียว

8.คุณแม่เองก็ต้องทำจิตใจให้สบาย ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ควรจะคิดกังวลอะไรมาก เพราะมันไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คุณคิดเลย แต่ถ้ามีปัญหาก็ควรปรึกษาสามี ครอบครัว หรือเพื่อนสนิท

9.อาหารคือสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณแม่ ควรจะทานอาหารให้ครบห้าหมู่ และพักผ่อนให้เพียงพอ คิดอยู่เสมอว่าเราจะอดหลับอดนอนเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว เพราะถ้าเรานอนน้อย ลูกของเราก็อาจจะมีพัฒนาการที่ช้ากว่าปกติ

10.คุณแม่ตั้งครรภ์ควรงดเหล้า เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ และสูบบุหรี่ตลอดการตั้งครรภ์นานไปถึงการให้นมลูกด้วย ส่วนคุณพ่อเมื่อสูบบุหรี่ ก็ควรจะอยู่ห่างภรรยา ไม่อย่างนั้นจะส่งผลต่อลูกน้อยในครรภ์ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดควรเลิกไปดีกว่า เพราะจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ลูกเมื่อเติบโตแล้ว

11.ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ไม่ควรตั้งความหวังเกี่ยวกับเพศของลูก ว่าอยากได้ลูกชายบ้าง ลูกสาวบ้าง เพราะไม่ว่าลูกจะมีเพศใดก็คือลูกของเรา

12.ท่านอนของคุณแม่ตั้งครรภ์ แนะนำว่าควรจะนอนตะแคงซ้ายดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มดลูกไปทับเส้นเลือดดำใหญ่

13.เมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดหัวบ่อย มีเลือดออกทางช่องคลอด มีน้ำคร่ำออกมาจากช่องคลอด บวมน้ำ หรือรู้สึกว่าลูกดิ้นน้อยลงกว่าเมื่อก่อน ควรรีบปรึกษาแพทย์

14.เมื่อคลอดออกมาแล้ว คุณแม่ก็จะโล่งใจ ไร้กังวล เมื่อได้เห็นลูกน้อยออกมาลืมตาดูโลก มีร่างกายที่ครบสมบูรณ์ น่ารักน่าชัง และเป็นโซ่ทองคล้องใจพ่อแม่ตราบนานเท่านาน

บทความที่เกี่ยวข้อง
อย่าปล่อยให้ความเครียดเล่นงานลูก
ขวบแรกของลูก พ่อแม่ต้องใส่ใจ
กินต้านโรคจ้ำม่ำในเด็ก
ติวเข้มเจ้าตัวเล็ก พร้อมก่อนไปร.ร.
เคล็ดลับซูเปอร์มัม นุสบา ปุณณกันต์

5/9/51

เรื่องกล้วยๆ ที่ไม่กล้วย


วันนี้หยิบกล้วยมากิน สังเกตว่าเป็น กล้วยแฝด แผด 2 แฝด 3 ด้วย วันนี้เอาเรื่องของกล้วยมาฝากกัน กล้วยมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตส และ กลูโคส (sucrose, fructose and glucose) รวมทั้ง เส้นใยอาหาร ให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันทีเขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง 90 นาที ไม่ต้องสงสัยเลยที่ นักกีฬาระดับโลกถึงชอบกินกล้วยหอมกันนัก (เคยเห็นในสนามเทนนิส....พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอม มากัดกินสัก 2-3 คำ) ยังไม่หมดนะ เจ้ากล้วยยังมีคุณอนันต์ ป้องกันโรคภัยและภาวะต่าง ๆ ของร่างกายได้อีกด้วย มาดูกัน

1.ความเศร้าซึม จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม เพราะว่ามี tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโน โปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใส และมีความสุขมากยิ่งขึ้น

2.pms (premenstrualsyndrome) สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย ไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย เช่นปวดท้อง ปวดหัว ฯลฯ รีบกินกล้วยหอมซะดี ๆ ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย กล้วยหอมสามารถป้องกันได้

3.โรคโลหิตจาง (Anemia) ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิ ต Hemoglobin(ฮีโมโกลบิน) ในกระแสโลหิตช่วยหยุดยั้งภาวะ โลหิตจาง ได้

4.ความดันโลหิต (Blood Pressure) กล้วยหอมมี เกลือโปแตสเซียมเหลือง อยู่เยอะ เป็นตัวช่วยความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug Administration อนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดันได้จริง

5.เสริมสร้างพลังสมอง (Brain Power) ที่อังกฤษในแค้วน Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham school อ้างว่าพวกเขาสอบผ่าน เพราะได้กินกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมอง สดชื่น เขาได้วิจัยพบว่า โปแตสเซียม ในกล้วย ช่วยนักเรียนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ

6.อาการ ท้องผูก (Constipation) เส้นใย อาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี

7.เมาค้าง (Hangovers) วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่ง ก็คือกินกล้วยหอมปั่น banana milkshake โดยการใส่ น้ำผึ้ง ลงไปด้วย สรรพคุณของน้ำผึ้ง และสารวิตามินในกล้วยจะช่วยให้ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้นจุกเสียดแน่นท้อง (Heartburn)กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่ ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว

8.Morning Sickness ตอนเช้า ไม่อยากจะตื่นบ้าง ถ้าเรากินกล้วยหอมสักคำ 2 คำ ระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด และแก้อาการดังกล่าวในตอนเช้าได้บรรเทา

9.แผลยุงกัด ก่อนที่จะใช้ยาทา ลองใช้ เปลือกกล้วยหอม ด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด จะช่วยลดอาการ คัน หรือ บวม ได้ คนส่วนใหญ่เป็นอย่าง นั้นจริง ๆ

10.ระบบประสาท (Nerves) วิตามินบี ที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียดอ่อนล้าได้

11.อ้วน จากทำงานมากเกินไป ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกิน ช็อคโกแล็ต และพวก โปเต้โต้ชิปส์ มากเกินไป ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น จากที่กล่าวมาแล้วถ้ากินกล้วยหอมสักเล็ก ๆ น้อย ๆ ประมาณทุก ๆ 2 ชม.จะช่วยปรับ ระดับน้ำตาลในเลือด และลดการอยากกินของจุกจิก

12.แผลในลำไส้ และกระเพาะอาหาร รวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผล (Ulcers) สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของ ลำไส้เล็ก ดีขึ้น รวมทั้งกรดต่าง ๆ ที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้

13.ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย (Temperature Control) ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อนผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกันครับและเชื่อว่ามันเป็นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่ง อย่างเช่นในไทยมีความเชื่อกันว่า ผู้หญิงท้อง ควรกินกล้วยหอมเป็นประจำ เพื่อเด็กที่เกิดมาจะมีอารมณ์เยือกเย็น

14.ลดความอยากสูบบุหรี่ สำหรับท่านที่ต้องการ เลิกบุหรี่ กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมี วิตามิน B6, B12,โปแตสเซียม และ แม็กนีเซียม ที่มีอยู่มากจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสาร นิโคติน

เปรียบเทียบกับแอปเปิ้ลแล้วกล้วยหอมมี โปรตีน มากกว่า 4 เท่า, มี คาร์โบไฮเดรท มากกว่า 2 เท่า, ฟอสฟลอรัส มากกว่า 3 เท่า, วิตามินเอ และ ธาตุเหล็ก มากกว่า 5 เท่า, วิตามิน และ เกลือแร่ ต่าง ๆ มากกว่า 2 เท่าดังนั้นจากที่ฝรั่งเคยพูดกันว่า "An apple a day keeps doctor away." ต่อไปคงจะต้องเปลี่ยนเป็น "A banana a day keeps doctor away." ซะแล้วมั๊ง

หนัง หรือ รองเท้าหนัง ถ้าอยากขัดให้มันวาวแบบเร็ว ๆ ก็เอาเปลือกกล้วยหอมด้านในถูรองเท้าไปเลยเสร็จแล้วเอาผ้าแห้งเช็ดขัดออก รองเท้าจะมันแผล็บเลยแต่ไม่ควรกินกล้วยขณะท้องว่าง เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุ แมกนีเซียม

การรับประทานกล้วย ขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณ ธาตุแมกนีเซียม ในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของ แคลเซียม และ แมกนีเซียม ไป เป็นการยับยั้งการทำงานของ หลอดเลือดหัวใจ เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

10 เรื่อง เพื่อ สุขภาพ และ โภชนาการ

10 เรื่องง่ายๆ ในชีวิต เพื่อทำให้สุขภาพดีได้ไม่ยาก

1. สำรองผลไม้ไว้ในตู้เย็น ได้แก่ กะหล่ำปลี แครอท ส้ม แอปเปิ้ล ซึ่งนอกจากจะได้ ไดเอต แล้ว การรับประทาน ผัก & ผลไม้ ประจำ ยังช่วยลดความเสี่ยงจาก โรค มะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้อีกด้วย

2. เหงือก ดีด้วยน้ำชายามเช้า องค์การอาหารและยา ของสหรัฐและสวีเดน บอกว่าการบ้วนปากในช่วงเช้าด้วย น้ำชา จะช่วยลดแบคทีเรียในช่องปาก เนื่องจากสาร โพลีฟีนอล จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของ แบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของ ฟันผุ

3. ดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 5 แก้ว ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด มะเร็ง ลำไส้ใหญ่ และ กระเพาะปัสสาวะ ได้เกือบ 50% เชียวล่ะ

4. เปลือยเท้า คลายเคลียด การย่ำเท้าเปล่าไปบนทรายนุ่ม ๆ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของ เลือด

5. รับแสงแดดอ่อน มีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่า ผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสียเลย มีโอกาสที่จะเป็น มะเร็งเต้านม มากกว่าผู้หญิงที่อยู่ในเมืองที่มี แดด เนื่องจาก แสงแดด ช่วยสังเคราะห์ วิตามินดี ในร่างกาย เราควรรับแดดอ่อนๆ ในช่วงเย็น

6. หันมาทานขนมปังโฮลวีทกันเถอะ สำหรับอาหารว่างยามบ่าย แทนที่จะทาน คุ๊กกี้ หรือ เค็ก เปลี่บนมาทาน ขนมปังโฮลวีท สัก 2 แผ่น รับรองว่า จะช่วยให้คุณมีกำลังวังชา และยังไม่ อ้วน อีกด้วยล่ำ

7. สลัดปลาทูน่า เพิ่มความจำ ใครที่รู้ตัวว่า เริ่มจะหลง ๆ ลืม ๆ ลองหันมาทาน สลัดปลาทูน่า หรือ อาหารเมนูปลา รวมทั้งเพิ่มอาหารที่มี วิตามินบี 2 เช่น ไข ถั่วเหลือง นม นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ดี ยังช่วยเพิ่มพลัง ความจำ ให้กับสมองได้

8. เดินไว ๆ ช่วยให้สุขภาพ หัวใจ แข็งแรง ลองเดินให้ไวขึ้นอีกนิด อาจใช้เวลาเดินในช่วงเช้า หรือหลังเลิกงาน ให้ได้วันละ 20 นาที จะช่วยบริหาร หลอดเลือดหัวใจ ให้แข็งแรง และยังให้หุ่นสลิมสมส่วนเป็นของแถม

9. เติมไขมันดี ๆ ให้ร่างกาย ไขมัน ไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียว เพราะมีไขมันหลายชนิดที่เป็นมิตรกับร่างกายนะ หากร่างกายขาดแคลน อาจมีผลต่อการดูดซึม วิตามิน เอ ดี อี เค และจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้ เลือกทานอาหารที่มี ไขมันไม่อิ่มตัว จาก น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่ว และ ไขมัน โอเมก้า 3 จากปลา ไม่เพียงให้พลังงาน ทำให้มีเรี่ยวแรง ยังช่วยป้องกัน โรคมะเร็ง และ โรคหัวใจ ด้วย

10. JUST DO NOTHING ลองหยุดภาระวุ่น ๆ สักสัปดาห์ละวัน หรือวันละ 1 ชม. ให้ปลอดจากเรื่องงาน และคนรอบข้าง ให้เวลาอยู่คนเดียว ตามลำพัง จะช่วยให้คุณรู้สึกสงบ อาจจะฟังเพลงเงียบ ๆ หรืออาบ น้ำอุ่น ๆ แล้วอ่านหนังสือเล่มโปรด ชมดอกไม้ เป็นการเติมความรื่นรมย์ทางด้านจิตใจ ทำให้คุณสดชื่น และมีความสุข และให้ห่างไกลจากโรครีบร้อน เร่งรีบ จนแทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง ลองทำดู แล้วคุณจะดูดีขึ้นและยังห่างไกลจาก โรคภัย อีกด้วย

3/9/51

Three things in your life









I want you do like these. Everybody please try to do. I am going to do like these too. I wish you be happy in your life.





1/9/51

LOVE STORIES FROM CHINA

An incredible love story has come out of China recently and managed to touch the world. It is a story of a man and an older woman who ran off to live and love each other in peace for over half a century. The 70-year-old Chinese man who hand-carved over 6,000 stairs up a mountain for his 80-year-old wife has passed away in the cave which has been the couple's home for the last 50 years. Over 50 years ago, Liu Guojiang a 19 year-old boy, fell in love with a 29 year-old widowed mother named Xu Chaoqin.. In a twist worthy of Shakespeare's Romeo and Juliet, friends and relatives criticized the relationship because of the age difference and the fact that Xu already had children. At that time, it was unacceptable and immoral for a young man to love an older woman.. To avoid the market gossip and the scorn of their communities, the couple decided to elope and lived in a cave in Jiangjin County in Southern ChongQing Municipality.
In the beginning, life was harsh as hey had nothing, no electricity or even food. They had to eat grass and roots they found in the mountain, and Liu made a kerosene lamp that they used to light up their lives. Xu felt that she had tied Liu down and repeatedly asked him, 'Are you regretful? Liu always replied, 'As long as we are industrious, life will improve.

In the second year of living in the mountain, Liu began and continued for over 50 years, to hand-carve the steps so that his wife could get down the mountain easily. Half a century later in 2001, a group of adventurers were exploring the forest and were surprised to find the elderly couple and the over 6,000 hand-carved steps. Liu MingSheng, one of their seven children said, 'My parents loved each other so much, they have lived in seclusion for over 50 years and never been apart a single day. He hand carved more than 6,000 steps over the years for my mother's convenience, although she doesn't go down the mountain that much. The couple had lived in peace for over 50 years until last week. Liu, now 72 years, returned from his daily farm work and collapsed. Xu sat and prayed with her husband as he passed away in her arms. So in love with Xu, was Liu, that no one was able to release the grip he had on his wife's hand even after he had passed away. 'You promised me you'll take care of me, you'll always be with me until the day I died, now you left before me, how am I going to live without you?' Xu spent days softly repeating this sentence and touching her husband's black coffin with tears rolling down her cheeks. In 2006, their story became one of the top 10 love stories from China , collected by the Chinese Women Weekly. The local government has decided to preserve the love ladder and the place they lived as a museum, so this love story can live forever.

Nationwide strikes

Forty-three state enterprise labour unions under control of People's Alliance for Democracy organisers have agreed to stage strikes and to selectively cut water and electricity, halt Bangkok buses and delay all Thai International Airways flights beginning on Wednesday. The aim is to help PAD to force the government out of office.
Sawit Kaewwan, secretary-general of the State Enterprise Labour Relations Confederation and a core leader of the People's Alliance for Democracy, said the unions will begin by cutting water and electricity supplies to provincial police offices - and then to other selected targets.
Telephone lines to government agencies and the homes of cabinet ministers will be cut.
Flights of Thai International flights will be delayed nationwide and about 80 per cent of Bangkok buses will stop running. In a reversal of the policy, train service was restored yesterday to the Northeast and North.
A union representative told the union meeting that the 7,500 staf of the Government Savings Bank will "follow the confederation's resolution."
Mr Sawit claimed the plan to cut essential services was in response to the use of force against PAD supporters.
Fellow PAD radical Sirichai Mai-ngam, president of the labour union at the Electricity Generating Authority of Thailand, said the announcement of the confederation was only a threat, but then immediately said it would be put into action. The moves by the PAD-friendly labour unions were intended to protect the interests of the nation and were not for the benefit of state enterprise workers.
The confederation has 43 state enterprise labour unions with more than 200,000 members, Mr Sirichai said.
"Today is our D-Day. We have given them [the government] many chances.
"If the government does not resign, we will continue our operations until it quits," Mr Sawit said.
Boonma Pongma, vice-president of the BMTA's union, said there will be only 800 free red-cream buses left to serve Bangkok commuters, or about 20% of the whole fleet.
Somsak Manop, vice-president of Thai Airways International's union, said the union will delay the arrival and departure times of THAI aircraft and will reduce the number of flights.
Thammarat Ramkwan, president of the Provincial Waterworks Authority's union, said the union will initially cut water supplies to police stations across the country.
Phien Yongnoo, president of the Metropolitan Electricity Authority's labour union, said the union was considering cutting off the power supply to help the PAD pressure the government.
However, the power supply cut would be applied to government agencies whose bills were overdue by one month.
"We will hold a discussion to consider whether the cut-off period could be shorter than one month. It should be one week or whatever. We will do everything to achieve our goal of pressuring the government," he said.
However, at least three labour unions from state-run banks disagreed with the planned strike.
Kusol Boonklom, president of the Bank for Agriculture and Agricultural Co-operatives' labour union, said members of the BAAC union needed to discuss the planned strike among themselves first.
Natthapat Yimyai, president of the Government Savings Bank's labour union, said his members had varying views on whether to join the strike.
Somsak Boonthong, chairman of the SRT's board, said the board is considering whether to resign following the stoppages by railway workers.
"The move by the SRT union to stop rail services was wrong, so we are considering resigning and taking responsibility," he said. The board is expected to make a decision in two days, he said.
Prime Minister Samak Sundaravej called an urgent meeting yesterday to discuss the union stance with leaders of the People Power party.
PM's Office Minister Chusak Sirinil said the prime minister stressed the importance of legal means to deal with the protesters.
Meanwhile, northern and northeastern train services resumed yesterday after hundreds of railway workers went on strike last week and paralysed the country's rail system.
In Nakhon Ratchasima province, State Railway of Thailand governor Yutthana Sapcharoen held talks with railway workers and persuaded them to cancel the strike.
The first northeastern train, on the Nakhon Ratchasima-Surin route, left at 6pm, while northeastern-bound services from Bangkok were expected to resume last night.


Death on the street
Nationwide strikes
Foreign concern
Thaksin sells Man City
Markets fret
Commentary: White turns black
Analysis: Tyranny of a minority
'Resign, Mr Samak'
No quitting
'Critical' weekend

By Post Reporters

.................................................................................

29/8/51

แถลงการณ์ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) และองค์กรภาคี

เรื่อง ขอประณามการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจากเหตุการณ์การเคลื่อนไหวทางการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 แม้ว่าการชุมนุมและการเคลื่อนไหวเพื่อแสดงความคิดเห็นทางการเมือง จะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนหรือกลุ่มองค์กรต่างๆ เป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ แต่การชุมนุมหรือการเคลื่อน ไหวเพื่อแสดงความคิดเห็นทางการเมืองต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย กรอบสิทธิของรัฐธรรมนูญและต้องไม่ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของคนในสังคม

แต่ในขณะนี้การเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กระทำการที่เป็นการละเมิดกรอบและบทบัญญติของกฎหมายด้วยการบุกเข้ายึดสถานที่ราชการ สถานีโทรทัศน์ การใช้กำลังคุกคามเจ้าหน้าที่ของรัฐ และใช้กำลังคุกคามสื่อมวลชน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการกระทำที่จะนำพาและก่อให้เกิดความขัดแย้งของคนในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ทั้งยังเป็นการขัดแย้งในจุดยืนในการชุมนุมและการเคลื่อนไหวเพื่อแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเองว่าจะใช้หลัก สันติวิธี ปราศจากอาวุธและหลัก อหิงสา

สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) และองค์กรภาคี มีความคิดเห็นต่อสถาน การณ์ที่เกิดขึ้นดังนี้

1.ขอประณามการกระทำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ใช้กำลังและความรุนแรงในการบุกเข้ายึดสถานที่ราชการและสถานีโทรทัศน์ซึ่งเป็นการละเมิดกรอบและบทบัญญัติของกฎหมาย อันจะนำไปสู่การสร้างค่านิยมทางการเมืองว่าในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองต้องจบลงด้วยการใช้กำลังและความรุนแรง

2.ขอเรียกร้องให้แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยุติการสร้างเงื่อนไขต่างๆ ที่จะนำไปสู่การรัฐประหารเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง

3.ขอเรียกร้องให้รัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้ความอดทนอดกลั้นในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงอันจะนำไปสู่การเสียเลือดเนื้อของพี่น้องคนไทยด้วยกันเอง

4.ขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนของสังคมได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักอันจะนำไปสู่การสร้างความสมานฉันท์และความสามัคคีของคนในชาติ

สุดท้ายนี้สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) และองค์กรร่วมภาคีหวังว่าปัญหาและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมในขณะนี้จะสามารถคลี่คลายลงด้วยแนวทางสันติวิธีและความสมานฉันท์ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกภาคส่วนของสังคมไทยจะร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงและในทางที่ถูกต้องเพื่อนำมาสู่ความสามัคคีของคนในชาติที่ยั่งยืน

ด้วยจิตสมานฉันท์สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย(สนนท.) และองค์กรภาคี
กลุ่มกิจกรรมนักศึกษาเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยรามคำแหงองค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.)
องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (มอ.ปัตตานี)
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาภาคอีสาน (สนนอ.)
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สนน.จชต.)
เครือข่ายนักศึกษาเพื่อพิทักษ์ประชาชน (คพช.)
กลุ่มประชาธิปไตยไม่ใช่แค่กิ๊ก
...............................................................................